วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความตลบแตลงของพระคึกฤทธิ์ เกี่ยวกับปาฏิโมกข์ ๑๕๐

ก่อนเริ่มบทความ ขอให้ท่านผู้อ่านได้โปรดชมคลิปชุดนี้ ซึ่งอุดมไปด้วยความตลบตะแลงของพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล

https://www.youtube.com/watch?v=PTWAmnXoD3E



พระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล   กล่าวว่า ศีลพระมี ๒,๔๐๐ ข้อ    ซึ่งสาวกของท่านที่ได้ฟัง ก็เชื่อสนิทใจโดยไม่มีแม้สักคนที่จะถามท่านว่า ๒,๔๐๐ ข้อ ในพระบาลีมีอย่างไร ข้อใดบ้าง ทำให้ข้าพเจ้าสงสัยว่า ท่านเข้าใจคำว่า ศีลกับวินัย หรือไม่

ศีล คือ "ข้อปฏิบัติ" ที่เป็นไปเพื่อความไม่เบียดเบียน เป็นฐานแห่งพระนิพพาน
วินัย คือ "ข้อบังคับ" (เหมือนกฎหมาย) ต้องปฏิบัติ หรือห้ามปฏิบัติ ถ้าฝ่าฝืน มีโทษ โทษทางวินัยเรียกว่า อาบัติ

การที่บัญญัติวินัยที่มีอาบัติ การบังคับวินัยนั้นจะทำไม่ได้ จึงต้องมีการบัญญัติอธิกรณสมถะด้วย เหมือนกฎหมายอาญาที่มีการบัญญัติข้อบังคับและมีโทษ แต่การจะบังคับดำเนินคดีอย่างไร ต้องใช้วิธีพิจารณาความอาญา แม้วินัยและอธิกรณสมถะก็ฉันนั้นเหมือนกัน

สิ่งที่ต้องยกขึ้นสู่พระปาฏิโมกข์คือวินัยไม่ใช่ศีล วินัยสงฆ์รวมอธิกรณสมถะจึงมี ๒๒๗ ไม่ใช่สองพันกว่าข้อตามคำกล่าวของท่านคึกฤทธิ์

การตัดสินพระวินัยต้องถือตามพระวินัยปิฎก ไม่ใช่ถือตามพระสูตร 

เหมือนอาญาจะตัดสินคดีอาญาต้องตัดสินตามกฎหมายอาญาไม่ใช่กฎหมายแพ่ง
ถ้าสวดปาฏิโมกข์ไม่ครบ จะทำให้ภิกษุนั้นขาดความระลึก จำได้หมายรู้ในพระปาฏิโมกข์ เหมือนนักเรียนกฎหมายที่ท่องตัวบทกฎหมายไม่ครบ จะรักษากฎหมาย ใช้กฎหมายให้ถ้วนถี่นั้นยากยิ่ง

ข้อที่ท่านเถียงว่า เสขิยวัตร ๗๕ นั้น ไม่มีอาบัติ จึงไม่ต้องยกขึ้นสู่ปาฏิโมกข์ ท่านเอาที่ไหนมาพูด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระสูตรไหนว่า  เสขิยวัตรไม่มีการปรับอาบัติ ไม่ต้องยกขึ้นสู่พระปาฏิโมกข์   ท่านพูดให้ประชาชนที่ขาดความรู้ไขว้เขวว่า พระวัดอื่นปลงอาบัติในเสขิยวัตร  ซึ่งความจริงไม่ใช่  เสขิยวัตรจะมีหรือไม่มีอาบัติก็ต้องยกขึ้นสู่พระปาฏิโมกข์  

เสขิยวัตรให้สวด ไม่ได้ให้ปรับอาบัติ

ท่านยกหนังสือวินัยมุขพระมหาสมณะเจ้ามาอ้าง แต่ท่านกลับดูถูกนักธรรมตรี โท เอก และเปรียญธรรมว่าเรียนเดรัจฉานวิชา เรียนอรรถกถาไม่เรียนพุทธวจนะ แล้วที่ท่านสวด ๑๕๐ นี่ใช่เดรัจฉานวิชาหรือไม่ เพราะมาจากตำรานักธรรมที่ท่านกล่าวว่าเขาเรียนเดรัจฉานวิชา  ถ้าใช่ท่านก็คงเป็นเดรัจฉานบุคคลที่สวดเดรัจฉานวิชา


ท่านเป็นคนที่เลือกใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ท่านติเตียน อุปมาเหมือนพยายามแยกน้ำออกจากอุจจาระ แล้วเอาน้ำที่แยกจากอุจจาระมาดื่มกิน อย่างนั้น

ไม่มีความคิดเห็น: