ท่านคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล นำการศึกษาปริยัติธรรมในรูปแบบปฏิเสธคำพระสาวกในพระพุทธศาสนามาสอนประชาชน
สอนให้ประชาชนปฏิเสธแม้แต่คำพระสารีบุตร ไม่ให้ฟังคำคนอื่น จนประชาชนหลงเชื่อในสิ่งที่ท่านสอน
แม้กระทั่งเชื่อว่าเสาอโศกเป็นที่บันทึกพุทธวจนะ
ตามคำหลอกลวงของท่านที่กล่าวเพื่อสนับสนุนและชูประเด็นหลักให้สมกับยี่ห้อ “พุทธวจน”
ของท่านก็ตาม
และแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญบาลีทั้งประเทศมาเพียรอธิบายให้ท่านฟังว่า พาหิรกา สาวกภาสิตตา นั้น หมายถึง ภาษิตของสาวกนอกศาสนา
เป็นเรื่องนอกแนวนอกคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านก็ยังไม่ละทิฐินั้น แต่ “แถ”
ไปเรื่อยเปื่อย เริ่มจากเริ่มพูดว่า
ถ้าสาวกกล่าวคำพระพุทธเจ้าแบบก๊อปปี้มาก็ฟังได้ ท่านควรจะกลับไปพิจารณาพระคาถา “เย ธมฺมา” ว่า
พระอัสชิก๊อปปี้พระพุทธเจ้ามาแบบที่ท่านใช้เม้าท์ก๊อปปี้จากพระไตรปิฎกที่ท่านกล่าวตู่ว่ามีคำปลอมหรือเปล่า
หรือพระอัสชิกล่าวพระคาถา “เย ธมฺมา” จากความเข้าใจของตนจนเป็น
“พระอัสชิภาษิต”
ข้าพเจ้าคิดว่า คงเป็นเพราะท่านขาดความรู้ด้านวรรณคดีศาสนา
ท่านจึงไม่เคยเห็น “พาหิรกา สาวกภาสิตา” ของจริง
ท่านคึกฤทธิ์ ได้โปรดทราบและตระหนักเอาไว้ด้วยว่า ไม่มีใครในโลก
รวมถึงประเทศใดในโลกแม้แต่คนเดียว ที่สอนให้พุทธศาสนิกชนของเขาไม่ฟังสาวกภาษิตในพระพุทธศาสนา
พาหิรกา สาวกภาสิตา
และบทสวดที่พระพุทธองค์ไม่ทรงให้สวด ไม่ใช่สาวกภาษิตในพระพุทธศาสนา
หรือบทสวดบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เช่นบทพาหุง บทชินบัญชร
ที่คึกฤทธิ์ใส่ร้ายล้างสมองสาวกของตน
ด้วยความที่ท่านไม่เคยอ่านอรรถกถาแต่กล่าวใส่ร้ายอรรถกถาว่าเป็นคำแต่งใหม่
ท่านช่างมุสา กล้ากล่าวได้อย่างนั้นอย่างน่าไม่อาย ทั้งๆ ที่อรรถกถาได้เล่าไว้แล้วว่า “พาหิรกา
สาวกภาสิตา” คืออะไร
หน้าตาของ พาหิรกา สาวกภาษิตา
เป็นอย่างนี้
อักษรเทวนาครี
यदा यदा हि धर्मस्य ग्लानिर्भवति भारत ।
अभ्युत्थानमधर्मस्य तदात्मानं सृजाम्यहम् ॥४-७॥
यदा यदा हि धर्मस्य ग्लानिर्भवति भारत ।
अभ्युत्थानमधर्मस्य तदात्मानं सृजाम्यहम् ॥४-७॥
กาลใด ฤาแห่งหนใด
ที่ปรากฎธรรมะเสื่อมถอย
หรืออธรรมมีอำนาจขึ้น เมื่อนั้น ตูข้าจักสำแดงตนให้ปรากฎ
หรืออธรรมมีอำนาจขึ้น เมื่อนั้น ตูข้าจักสำแดงตนให้ปรากฎ
परित्राणाय साधूनां विनाशाय च दुष्कृताम् ।
धर्मसंस्थापनार्थाय सम्भवामि युगे युगे ॥४-८॥
धर्मसंस्थापनार्थाय सम्भवामि युगे युगे ॥४-८॥
เพื่อพิทักษ์สาธุชน อีกกำราบทุรชน
ตูข้าจึง
ปรากฎกายเพื่อสถาปนาธรรมะ ยุคแล้วยุคเล่า
ปรากฎกายเพื่อสถาปนาธรรมะ ยุคแล้วยุคเล่า
อักษรไทย
กามโกฺรธวิยุกฺตานามฺ ยตีนำ ยตเจตสามฺ อภิโต พฺรหฺมนิรฺวาณมฺวรฺตเต วิทิตาตฺมนามฺ
กามโกฺรธวิยุกฺตานามฺ ยตีนำ ยตเจตสามฺ อภิโต พฺรหฺมนิรฺวาณมฺวรฺตเต วิทิตาตฺมนามฺ
ผู้บำเพ็ญพรต พรากจากกามและโกรธข่มใจได้ รู้แจ้งอาตมัน
ย่อมมีนิพพานคือ พรหมโดยทั่วไป.(ศรีมัทภควัทคีตา) บทสรรเสริญยกย่อง
สนฺธยา สฺนานํ ชปศฺไจว เทวตานำ จ
ปูชนมฺ,
ไวศวเทวํ ตถา’’ ติถฺยํ ษฏฺ กรฺมาณิ
ทิเน ทิเน
“การทำสันธยา (กิจพิธีระหว่างวัน)
สนาน (อาบน้ำ) ชป (ภาวนา) การบูชาเทวดา ไวศวเทวะ (บวงสรวงแด่เทพยดา)
และการต้อนรับแขก (อาติถยํ) กรรมทั้ง ๖ อย่างนี้ พึงกระทำในทุกๆ วัน”
ส่วนบทสวดที่พระศาสดาไม่สรรเสริญการสวด
เพราะเป็นการสวดบูชาเทพเจ้า เป็นของนอกศาสนา เป็นอย่างนี้
บทที่ 1. คณะนายะกา ษะฏากามะ ศรีคเณศายะ นามะนะ เอกทันตัง มหากายัง ตัปตะกายาจะนะสันนิภัง ลัมโพทะรัง วิศาลากะสัง วันเทหัง คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก ผู้ซึ่งมีงาข้างเดียว มีพระวรกายอันยิ่งใหญ่ มีผิวพรรณเปร่งประกายเสมือนทองคำ
มีพระอุทร (ท้อง) ใหญ่โต มีเนตรอันไพศาล
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก ผู้ซึ่งมีงาข้างเดียว มีพระวรกายอันยิ่งใหญ่ มีผิวพรรณเปร่งประกายเสมือนทองคำ
มีพระอุทร (ท้อง) ใหญ่โต มีเนตรอันไพศาล
บทที่ 2. เมายะชี กฤษณาชินะรัง นาคายะโชญาปวีตินัง พาเลนทุศกะลัง เมาเลาวันเทหัง
คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ทรงคาดบั้นพระองค์ (เอว) ไว้ด้วยหญ้าคาและหนังกวางดำมีงูเป็นยัชโญปวีต พระนลาฏ (หน้าผาก) ปรากฏเป็นพระจันทร์เสี้ยว
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ทรงคาดบั้นพระองค์ (เอว) ไว้ด้วยหญ้าคาและหนังกวางดำมีงูเป็นยัชโญปวีต พระนลาฏ (หน้าผาก) ปรากฏเป็นพระจันทร์เสี้ยว
บทที่ 3. จิตระรัตนะ วิจิตรางคัง จิตระมาลาวิภูษิตัง กามะรูปาธะรัง เทวัง วันเทหัง
คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ทรงประดับเพชร พลอยและอัญมณีอันสวยงามสวมมาลัยไว้อย่างสะดุดตา สามารถแปลงรูปร่างได้ตามความประสงค์
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ทรงประดับเพชร พลอยและอัญมณีอันสวยงามสวมมาลัยไว้อย่างสะดุดตา สามารถแปลงรูปร่างได้ตามความประสงค์
บทที่ 4. คัชวักตะรัง สุรเศระษาถัง กัรณาจามะระภูษิตัม ปาศางะกุศะธะรัง เทวัง
วันเทหัง คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์มีพระพักตร์เป็นช้าง เป็นมหาเทพที่สูงส่งพระกรรณ (หู) ของพระองค์ใช้โบกสะบัดดั่งแส้จามรี พระองค์ทรงอาวุธปาศ และอังกุศ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์มีพระพักตร์เป็นช้าง เป็นมหาเทพที่สูงส่งพระกรรณ (หู) ของพระองค์ใช้โบกสะบัดดั่งแส้จามรี พระองค์ทรงอาวุธปาศ และอังกุศ
บทที่ 5. มูษาโกตตะมะมารุหะยา เทวาสุระมหาหะเว โยท-ธุ กามัง มหาวีระยัง วันเทหัง
คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์มีความเก่งกาจยอดเยี่ยมพระองค์ทรงร่วมทำสงครามระหว่างเทพกับอสูร โดยทรงหลังหนูมุสิกะเป็นพาหนะ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์มีความเก่งกาจยอดเยี่ยมพระองค์ทรงร่วมทำสงครามระหว่างเทพกับอสูร โดยทรงหลังหนูมุสิกะเป็นพาหนะ
บทที่ 6. ยักษะ กินนาระ คณะธารวะสิทธะวิทยาธะ ไรสะสัททา สะตูนะมานัง มหาพาหุง
วันเทหัง คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ผู้มีพระกรยาว
และได้รับการกราบบูชาจากเหล่ายักษ์ กินนร คนธรรพ์ สิทธิและเหล่าวิทยาธร ด้วยความเคารพสูงสุดตลอดมา
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ผู้มีพระกรยาว
และได้รับการกราบบูชาจากเหล่ายักษ์ กินนร คนธรรพ์ สิทธิและเหล่าวิทยาธร ด้วยความเคารพสูงสุดตลอดมา
บทที่ 7. อัมพิกา หฤทะยานานะทัง มตูฤภิ ปริเวษะติ ตัง ภักตะปะริยัง มโทนนามัตตัง
วันเทหัง คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ผู้เป็นที่พึ่ง มีความจงรักภักดีและเป็นผู้ประทานความสุขแก่พระแม่อุมา
พระองค์ห้อมล้อมไปด้วยมาตฤกาทั้งหลายและมีน้ำมันบริสุทธิ์ปริ่มจากศีรษะ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์ผู้เป็นที่พึ่ง มีความจงรักภักดีและเป็นผู้ประทานความสุขแก่พระแม่อุมา
พระองค์ห้อมล้อมไปด้วยมาตฤกาทั้งหลายและมีน้ำมันบริสุทธิ์ปริ่มจากศีรษะ
บทที่ 8. สะระวะวิฆนะหะรังเทวัง สะระวะวิฆวิวะระบะชิตตัง สะระวะสิทธิ ปะระทาตารัง
วันเทหัง คณะนายะกัง
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์คือเทพผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวงคือเทพผู้ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง คือเทพประทานความสำเร็จทุกประการ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก พระองค์คือเทพผู้ขจัดอุปสรรคทั้งปวงคือเทพผู้ปราศจากอุปสรรคทั้งปวง คือเทพประทานความสำเร็จทุกประการ
บทสรุป. คะณาษะตะกามิทัง ปุณยัง
ยะปะเถตสะตะตัง นะระสิทธะ ยันติ สะระวะการะยานิ วิทยาวานะ ธะนะวานะ ภะเวตุ
คำแปล : บทสวดทั้งแปดโศลกนี้ ผู้ใดสวดเป็นประจำ
ผู้นั้นจะได้รับปัญญา ทรัพย์สมบัติ และประสบความสำเร็จดั่งใจปรารถนาทุกประการ
บทต่อท้ายที่ 1. นะมัสเต พรหมรูปายะ วิษณูรูปายะเตนะมะ
นะมัสเต รูปายะ กริรูปายะ เตนะมะ คเณศะปูเนกรมะ ยันนะยูนะมะ ธิกังกะฤติ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก เทพเจ้าซึ่งอยู่ในรูปช้าง อยู่ในรูปพระพรหม อยู่ในรูปพระวิษณุ อยู่ในรูปพระศิวะ
นะมัสเต รูปายะ กริรูปายะ เตนะมะ คเณศะปูเนกรมะ ยันนะยูนะมะ ธิกังกะฤติ
คำแปล : ข้าพเจ้าขอนมัสการต่อพระคณนายก เทพเจ้าซึ่งอยู่ในรูปช้าง อยู่ในรูปพระพรหม อยู่ในรูปพระวิษณุ อยู่ในรูปพระศิวะ
บทต่อท้ายที่ 2. เตนะสรเวนะ สะระวาตะมา ประสะนะโนสะตุ สะทามะมะ
คำแปล : และในการสวดบูชาต่อพระคณนายกครั้งนี้ ขอพระสรวาตมาพระพิฆเนศ ทรงประทานพรแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
คำแปล : และในการสวดบูชาต่อพระคณนายกครั้งนี้ ขอพระสรวาตมาพระพิฆเนศ ทรงประทานพรแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ
ท่านคึกฤทธิ์นำความรู้ความเห็นผิดๆ ของตน
มาสร้างความวุ่นวายในบ้านเมือง อย่างน่าละอายที่สุด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น