วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2558

สกิเทว มหากาพย์รอบใหม่ ยังไม่จบ




สกิเทว กับพระคึกฤทธิ์ มหากาพย์รอบใหม่ ยังไม่จบ !!!

ความน่ารังเกียจของเรื่องนี้ที่สังคมรับไม่ได้ มิใช่อยู่ที่พระคึกฤทธิ์อธิบายผิด แปลผิด เพราะใครก็ผิดกันได้ แต่อยู่ที่ตนผิดแล้วดันไปใส่ความว่าเขาแปลผิดกันทั่วประเทศ อุปมาเหมือนสุนัขยกขาฉี่ใส่ล้อรถ ฉะนั้น

พระคึกฤทธิ์ อธิบายเรื่อง สกิเทว ยืนยันว่าแปลว่าเทวดาคราวเดียว โดยไหลรายวัน แจงสาวกผู้มีสุตตะน้อยด้วยการยกหลักฐานเรื่อง "อิสิทัตตะ" ในมิคสาลาสูตร เล่มที่ ๒๒ ขึ้นแสดง แล้วกล่าวหา "ไอ้หนอน" ว่า มันไม่รู้จักพระสูตรนี้
พระสูตรนี้ มิคสาลาอุบาสิกา เกิดความสงสัยว่า บิดาตนและอิสิทัตตะ ประพฤติพรหมจรรย์ต่างกัน เหตุไฉนพระผู้มีพระภาคจึงพยากรณ์ว่าเป็นพระสกทาคามีเข้าถึง (ไปเกิดอยู่) บนสวรรค์ชั้นดุสิต เช่นเดียวกัน

และมิใช่เพียงแค่พระสูตรนี้ที่ท่านคึกฤทธิ์ยกขึ้นอ้างเพียงพระสูตรเดียวดอกท่าน แม้แต่เรื่องลูกสาวของท่านอานาถบิณฑิกะเศรษฐี นามว่านางสุมนาเทวี ซึ่งบรรลุพระสกทาคามีก่อนตายลง พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นพระสกทาคามีไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดุสิต เช่นกัน (สาวกท่านคึกฤทธิ์เคยได้ยินเรื่องนี้หรือไม่)

เจอคำว่า สวรรค์ชั้นดุสิต เลยชี้ขาดว่า เทว ต้องแปลว่าเทวดาเท่านั้น แปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้

อิมํ โลกํ แปลว่า โลกเทวดา
รวมต้องแปลว่า เทวดาคราวเดียว

แล้วท่านก็ยกพระสูตรขึ้นอรรถกถาขยายความตามปัญญาตน (เหยียดหยามพระอรรถกาจารย์เพื่อตนจะได้เป็นพระอรรถกถาจารย์เอง)

"บิดาของดิฉันชื่อปุราณะ เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ประพฤติห่างไกล งดเว้นจากเมถุนอันเป็นธรรมของชาวบ้าน ท่านทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต บุรุษชื่ออิสิทัตตะผู้เป็นที่รักของบิดาของดิฉัน เป็นผู้ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ (แต่)ยินดีด้วยภรรยาของตน แม้เขากระทำกาละแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่า เป็นสกทาคามีบุคคลเข้าถึงหมู่เทวดาชั้นดุสิต"

รวมถึงตั้งคำถามๆ แก่ชาวปริยัติว่า ถ้าสกิเทวไม่ได้แปลว่าเทวดาคราวเดียว พระสกทาคามีเกิดอีกเพียงครั้งเดียว หากไม่ได้เกิดในเทวโลก หาก "อิมํ โลกํ" ไม่ได้หมายถึงโลกของเทวดาแล้ว พระสกทาคามีจะต่างกับพระโสดาบันเอกพีชีอย่างไร (ดูเป็นคำถามที่เป็นเหตุเป็นผลมาก และน่าทึ่งมากสำหรับผู้ใหม่ในสุตตะ แบบอ่านพระสูตรเพียงไม่กี่ปี)

ท่านคึกฤทธิ์เอาอะไรมาเหมารวมว่า พระสกทาคามีต้องไปเกิดในเทวโลกเท่านั้น เพราะพระสูตรที่พระผู้มีพระภาคมิได้พยากรณ์ว่าพระสกทาคามีไปเกิดในสวรรค์ชั้นใดเลยก็มี เช่นใน พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เรื่อง "สุทัตตะอุบาสก"

"ดูกรอานนท์ ภิกษุชื่อสาฬหะมรณภาพแล้ว กระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ภิกษุณีชื่อนันทามรณภาพแล้ว เป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ ๕ สิ้นไป"

"อุบาสกชื่อว่าสุทัตตะกระทำกาละแล้ว เป็นพระสกทาคามี เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป และเพราะราคะ โทสะ โมหะเบาบาง มาสู่โลกนี้อีกคราวหนึ่งแล้ว จักกระทำที่สุดทุกข์ได้ อุบาสิกาชื่อว่าสุชาดากระทำกาละแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า."

พระสกทาคามี เมื่อไปเสวยบุญในเทวโลกแล้ว พระสูตรไหนคือเครื่องยืนยันว่าพระสกทาคามีจะไม่กลับมายังโลกนี้ (โลกมนุษย์อีก) จะปรินิพพานในเทวโลกนั้น ? (กรุณาอย่าเอาไปมั่วกับเทวดาฟังธรรมแล้วบรรลุอรหันต์ปรินิพพาน)

พระสกทาคามีต่างกับพระอนาคามี ผู้ซึ่งพระศาสดายืนยันว่าจะปรินิพพานในพรหมโลก อย่างไร ?

แค่พระคึกฤทธิ์ตั้งคำถามว่า พระสกทาคามีต่างจากโสดาบันเอกพีชีอย่างไรเพื่อหาความชอบธรรมให้กับเทวดาคราวเดียวของตน ก็ผิดตั้งแต่การตั้งคำถามแล้ว

"เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมทั้งหลาย คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันมีอยู่ในขณะแห่งอากิญจัญญายตนฌานนั้น โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ... ว่างเปล่า เป็นอนัตตา เธอย่อมยังจิตให้ตั้งอยู่ในธรรมเหล่านั้น ครั้นแล้ว ย่อมน้อมจิตไปเพื่ออมตธาตุว่า นั่นสงบ นั่นประณีต คือ ธรรมเป็นที่สงบสังขารทั้งปวง ... นิพพาน เธอตั้งอยู่ในอากิญจัญญายตนฌานนั้น ย่อมถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ถ้ายังไม่ถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย เธอย่อมเป็นอุปปาติกะ จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่พึงกลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ด้วยความยินดีเพลิดเพลินในธรรมนั้นๆ "
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต

ดังนั้น ถ้าสาวกพระคึกฤทธิ์จะทราบว่าพระคึกฤทธิ์รู้จริงหรือแค่มั่วนิ่ม จงศึกษาตามประเด็นและพระสูตรเหล่านี้ดูเถิดจะเข้าใจ

สรุป สกิเทว แปลว่า เทวดาคราวเดียว ตามที่พระคึกฤทธิ์แปลนั้น ผิดทั้งไวยากรณ์บาลี ผิดทั้งอรรถด้วยการพิสูจน์หลักฐานชั้นพุทธวจนะ

เมื่อศึกษาแล้วจะปักใจเชื่อการอธิบายผิดๆ เพี้ยนๆ ของพระคึกฤทธิ์อีกก็ตามสบาย หรือจะขี้เกียจศึกษาแต่ขอเชื่ออย่างคนไร้ปัญญาก็ตามอัธยาศัย "ความโง่ ถ้าสมัครใจ ใครก็ห้ามไม่ได้"



ไหนบอกไม่เอาอรรถกถาไงวัดนาป่าพง



ท่านคึกฤทธิ์และสาวกวัดนาป่าพงยืนยันตลอดมาว่าไม่เอาอรรถกถา หนำซ้ำเหยียบย่ำทำลาย แล้วไฉนจึงกลืนน้ำลายตนเองเล่า หลายครั้งหลายหนที่ตนอธิบายตามอรรถกถาแล้วแอบด่าอรรถกถาและพระอรรถกถาจารย์ เข้าทำนองถ่มน้ำลายรดฟ้า ปากว่าตาขยิบ เกลียดปลาไหลแต่กินน้ำแกง จนถึง “กินบนเรือนขี้บนหลังคา”

พระสูตรแม้ทั้งปวงที่ถามแล้วได้ความรู้และความยินดีมีจูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนิยสูตร มหาปุณณมสูตรเป็นต้น พึงทราบว่า เวทัลละ.

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ภัณฑคามวรรคที่ ๑
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=6

ไหน "ลัทธิพุทธวจน" บอกไม่เอาอรรถกถาไง แล้วคำอธิบายเวทัลละมาจากไหน ถ้าไม่ใช่อรรถกถา

เมื่อก่อนเจ้าลัทธิก็มั่วหลอกสาวกว่า เวทัลละคือธรรมชั้นลึก ได้แก่ปฏิจสมุปบาท พอเจอไล่จี้ถามจนสาวกไปไม่เป็น เดี๋ยวนี้จึงไปเอาอรรถกถามาอธิบาย
ไร้ยางอายจริงๆ