วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ท่านคึกฤทธิ์และชาววัดนา ผู้ทนงตนว่าชำนาญปฏิจจสมุปบาท

เมื่อข้าพเจ้าได้ดูคลิปนี้แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ ท่านคึกฤทธิ์ยืนยันหนักแน่นจนแผ่นดินสะเทือนหลายครั้งหลายคราวว่า สาวกของท่านท่องจำปฏิจจสมุปบาทได้คล่องปากขึ้นใจ เพราะท่านอุตส่าห์สอนไปอย่างดีว่า บทสวดมนต์อื่นไม่เอา คำแต่งใหม่ทั้งนั้น  ท่องปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว รู้เพียงบทเดียวก็นิพพานได้ 



ปรากฏว่า เมื่อมีคนไปถามข้อสงสัยท่านที่วัด ไปถกปัญหากับท่านตามที่ท่านเชิญชวน แม้ตัวข้าพเจ้าก็อยากไปนะ แต่ดูเหมือนท่านจะขอเลื่อนนัดข้าพเจ้าออกไปอีกค่อนข้างไกล แต่ไม่เป็นไร ชีวิตนี้คงต้องพบท่านให้ได้ นับวันข้อสงสัยข้าพเจ้ายิ่งมาก สงสัยในภูมิความรู้ท่านและสงสัยว่าท่านหลอกลวงประชาชน ขออภัย ข้าพเจ้าเป็นคนพูดตรง และไม่ใช่นักเลงคีย์บอร์ดแม้กับท่าน ข้าพเจ้าก็พูดอย่างนี้  โดยผ่านการสนทนาไลน์กับเลขาท่าน ทุกข้อติเตียน รวมถึงบทความในบล็อกนี้ก็ส่งถึงท่าน พูดซะยาว กลับมาเรื่องลุง

ลุงคนนี้คุยโม้ว่ารู้ทั่วถึงธรรมพระศาสดา อ่านพุทธวจนะมาแล้วหกรอบ พอผู้มาเยือน (อาคันตุกะ นะท่าน ไม่ใช่  อาคันตวาแบบที่ท่านแปล) ถามว่า นามรูป คืออะไร ลุงชะงักไปสองสามวินาที ก่อนจะตอบว่า ทำไมต้องตอบ และสาวกคนอื่นก็สอดเข้ามาอย่างไม่มีสาเหตุเพื่อขอเปลี่ยนเรื่องคุย (แต่ถ้าเป็นข้าพเจ้า รับรองไม่มีใครมีโอกาสได้สอด อยากรู้เจอกันได้ลอง) พอผู้มาเยือน ขึ้นนามรูปเป็นปัจจัยให้เกิด  เด็กนักเรียนบาลีพุทธวจนะตามหลักสูตรที่ท่านสอนแปลผิดๆ ถูกๆ ก็พูดขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายว่า “เวทนา”  สรุปว่า เด็กนักเรียนห้องท่านท่องสูตรคูณผิดหมด นี่หล่ะท่าน บุคคลผู้ไม่ใช่พระอริยะก็เป็นแบบนี้  พระอริยะไม่รู้ไม่พูด  มั่นใจจึงพูด  ขึ้นใจจึงกล่าว  มีหลักฐานจึงกล่าว  เรียกว่า มีสัมมาวาจา ส่วนท่านและสาวกของท่าน เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ โดยไร้หลักฐาน

อันว่าคนพาล เมื่อหน้าแตกแล้ว อาการแถกแถก็ตามมา เมื่อผู้มาเยือนเฉลยเต็มๆ โดยเริ่มที่องค์แรกว่า “อวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี”  ท่านคึกฤทธิ์ก็นำสาวกยกพลตีเขาด้วยคำว่า สังขารทั้งหลาย  คือ ท่านติเตียนเขาว่าเขาลืมคำว่า “ทั้งหลาย” นั่นเอง  (สังขารา เป็นพหูพจน์ แปลสำเนียงอายตนิบาตว่า ทั้งหลาย แต่เวลาท่านแปลบาลีไม่เคยออกสำเนียงอายตนิบาตเลย ท่านกลับไม่ละอายแก่ใจ ไม่ย้อนมองตน เดี๋ยวข้าพเจ้าจะจัดให้เป็นลำดับต่อไปในกระทู้หน้า)

ดูกรพราหมณ์  อีกประการหนึ่ง ผู้ใดพึงพูดกับเราด้วยคำเพ้อเจ้อเหลวไหล ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ถ้าเราพึงพูดกับเราด้วยคำเพ้อเจ้อเหลวไหล ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น...อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้แล้วตนเองย่อมงดเว้นจากคำเพ้อเจ้อเหลวไหล
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ เป็นผู้ถูกทอดทิ้งไว้ในนรก เหมือนสิ่งของที่เขานำมาทอดทิ้งไว้ ธรรม ๑๐ ประการเป็นไฉน
ฯลฯ เป็นผู้พูดเพ้อเจ้อ คือกล่าวไม่ถูกกาล กล่าวไม่จริง กล่าวไม่อิงอรรถ กล่าวไม่อิงธรรม กล่าวไม่อิงวินัย กล่าววาจาที่ไม่มีหลักฐาน ไม่มีที่อ้างอิง ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันไม่ควร ฯลฯ
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต

ข้าพเจ้าเพิ่งทราบว่า เวลาลูกศิษย์ท่านกล่าวผิดในพระสูตรพระศาสดา ท่านกลับไม่ว่าลูกศิษย์ตน ไม่ดุ ไม่ติเตียน แต่เวลาคนอื่นพูดไม่เป๊ะ (คำของท่านเอง) ท่านกลับด่าเขาว่าแต่งใหม่ ในคลิปนี้ พยายามทำให้เขาเสียความมั่นใจ 

อันนี้ข้าพเจ้าเลยต้องขอลอกการบ้านสาวกของท่านหรือผู้ให้การสนับสนุนท่านซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร  และเป็นสาวกท่านหรือไม่ แต่เห็นออกมาเจ็บร้อนแทน จึงขอลอกมาส่งการบ้านท่าน  ดังนี้



วัดนี้แปลกนะ ประกาศตนเป็นผู้เผยแผ่พุทธวจนะ แต่กลับกล่าวปฏิจจสมุปบาทข้ามข้อ เรื่องใหญ่นะท่าน เพราะทำให้องค์ธรรมผิดไปเลยเทียว ความหมายเปลี่ยนไปเลย ไม่ใช่ผิดไปแค่ความเป็นเอกพจน์ พหูพจน์

ว่ามายืดยาว ยังไม่เข้าเรื่องเจ๋งๆ ของลุง  งั้นเอาไว้บทความหน้าแล้วกัน เรื่องของลุงท่านนี้อีกยาว โดยเฉพาะ “ลุงรู้ในเรื่องที่คนอื่นรู้ แต่ลุงไม่รู้ว่าคนอื่นรู้และลุงไม่รู้ว่าลุงไม่รู้อะไร”

ไว้ต่อกระทู้หน้า


ควรหรือไม่ ที่จะโม้เสียมากมาย แต่ทำไม่ได้ พอหน้าแตกแล้วแถกแถแบบนี้ 


ไม่มีความคิดเห็น: