วันอาทิตย์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

พระสารีบุตรผู้หมุนธรรมจักร ไม่ใช่พระคึกฤทธิ์


ด้วยผลแห่งการจาบจ้วงพระสารีบุตร ซึ่งพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ได้กระทำอยู่เนืองๆ กระทำทุกที่ๆ ที่มีโอกาสพูดได้  ซ้ำซากๆ ตลอดเวลา  จนกลายเป็นลัทธิจาบจ้วงพระสารีบุตร  ทำให้เหล่าสาวกของพระคึกฤทธิ์พากันเรียกพระสารีบุตรด้วยชื่ออย่างเดียว  ตามหลักฐานที่ได้แสดงมาแล้วในบทความก่อน

นอกจากสาวกของพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล   จะจาบจ้วงพระสารีบุตรแล้ว   ยังยกพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล เป็นพระอรหันต์เหนือพระสารีบุตร  ด้วยการยกพระคึกฤทธิ์ให้เป็นผู้หมุนธรรมจักร ทั้งๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงยกพระสารีบุตรไว้ในฐานะผู้หมุนธรรมจักรแห่งพระพุทธศาสนานี้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สารีบุตรก็เป็นผู้ประกอบด้วยคุณธรรม ๕ ประการ จึงสามารถยังธรรมจักรอันไม่มีจักรอื่นยิ่งกว่า อันตถาคตหมุน ไปแล้ว ให้หมุนไปตามได้โดยชอบแท้, และทั้งจักรนั้น เป็นจักรที่สมณะ หรือพราหมณ์ หรือเทวดา มาร พรหม หรือใคร ๆ ในโลก ไม่สามารถ ต้านทานให้หมุนกลับได้.

ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรเป็นผู้รู้จักเหตุ รู้จักผล รู้จักประมาณ รู้จักกาล รู้จักบริษัท.

ภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรประกอบด้วยคุณธรรม ๕ ประการเหล่านี้แล จึงสามารถหมุนธรรมจักร อันไม่มีจักรอื่นยิ่งกว่า ที่ตถาคต หมุนไปแล้ว ให้หมุนไปตามได้โดยชอบแท้ และทั้งเป็นจักรที่สมณะ หรือ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหมหรือใคร ๆ ในโลก ไม่สามารถต้านทาน ให้หมุนกลับได้.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๒  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔  อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

แต่ก็คงไม่แปลกอะไร เพราะสาวกพระคึกฤทธิ์ ยังยกพระคึกฤทธิ์เสมอด้วยพระพุทธองค์ ผู้ทรงเปิดธรรมที่ถูกปิด  หงายของที่คว่ำ  ไม่ว่าสาวกท่านคึกฤทธิ์จะเข้าใจผิดในเรื่องนี้หรือไม่อย่างไร ขอให้ไปศึกษาดูว่า แท้จริงแล้ว ใครกันแน่ในโลกนี้ ที่เปิดธรรมที่ถูกปิด พระผู้มีพระภาค หรือพระคึกฤทธิ์กันแน่



เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ปุณณโกลิยบุตรผู้ประพฤติวัตรดังโค ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก   ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่าผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญ ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ขอถึงพระผู้มีพระภาคพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

พระคึกฤทธิ์จาบจ้วงพระสารีบุตร





เมื่อคราพระคึกฤทธิ์อ่านพระไตรปิฎก ถึงช่วงที่พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ถวายคำแนะนำพระพุทธเจ้า  แล้วพระพุทธเจ้าไม่ทรงเห็นด้วย  พระคึกฤทธิ์คงรู้สึกขัดเคืองพระสารีบุตร ถึงขนาดกล่าวจาบจ้วงใส่ความพระสารีบุตรว่า “ผิด” 

ในขณะที่คราใดที่พระสารีบุตรถวายคำแนะนำพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนา เช่น ในสังคีติสูตร ที่พระสารีบุตรถวายคำแนะนำให้ทำสังคายนาจำลองเฉพาะพระพักตร์พระพุทธเจ้า ทำให้มีพระไตรปิฎกและพุทธวจนะสืบเนื่องมาจนถึงมือท่านคึกฤทธิ์ทุกวันนี้  จนพระองค์ทรงอนุโมทนา พระคึกฤทธิ์กลับไม่เคยนำเรื่องดีๆ ของพระสารีบุตรมาเล่าให้สาวกฟังเลย  ฤา พระสารีบุตรจะไม่มีความดีเลยในสายตาท่านคึกฤทธิ์และสาวก

พระคึกฤทธิ์กระทำการเช่นนี้เพื่ออะไร ?

ไม่เคยมีครั้งไหนที่พระคึกฤทธิ์จะกล่าวสรรเสริญพระสารีบุตรแม้แต่ครั้งเดียว  หนำซ้ำ  ยังพาสาวกเรียกชื่อพระสารีบุตรว่า  “สารีบุตร”  โดยไม่มีคำนำหน้านาม  ในขณะที่สาวกพระคึกฤทธิ์ เรียกพระคึกฤทธิ์ว่า “พระอาจารย์” แต่เรียนอัครสาวกแห่งพระศาสดาด้วยชื่อเฉยๆ ว่า “สารีบุตร” จนสาวกของพระคึกฤทธิ์เรียกตามกันเป็นแถว









ขนาดพระพุทธเจ้ายังทรงสรรเสริญพระสารีบุตรว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บริษัทของเรานี้ปรากฏเหมือนว่างเปล่า เมื่อสารีบุตรและโมคคัลลานะยังไม่ปรินิพพานสารีบุตรและโมคคัลลานะอยู่ในทิศใด ทิศนั้นของเราย่อมไม่ว่างเปล่าความไม่ห่วงใยย่อมมีในทิศนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เหล่าใดได้มีมาแล้วในอดีตกาล พระผู้มีพระภาคแม้เหล่านั้น ก็มีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะของเรา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้เหล่าใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคแม้เหล่านั้น ก็จักมีคู่สาวกนั้นเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น เหมือนกับสารีบุตรและโมคคัลลานะของเรา.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

พระคึกฤทธิ์กล่าวจาบจ้วงพระสารีบุตร แค่เพียงเหตุผลว่า “พระสารีบุตรถวายคำแนะนำแล้วพระศาสดาไม่ทรงเห็นด้วย”  พระสารีบุตรไม่เคยแสดงธรรมผิดพลาดในเนื้อธรรมเลย 

แล้วพระคึกฤทธิ์เล่า ทั้งกล่าวโกหกประชาชนเรื่องเสาอโศก  ทั้งกล่าวจาบจ้วงใส่ความนักธรรมเปรียญธรรม มจร มมร  โดยไร้หลักฐานและไม่มีมูลความจริง  ทั้งกล่าวมุสาว่าตนอ่านตำรา เปรียญธรรมซึ่งเป็นภาษาบาลีมาหมดแล้ว ในขณะที่ตนเองไม่มีความรู้ภาษาบาลีสักตัวเดียว ข้าพเจ้าท้าพระคึกฤทธิ์ เปิดพระไตรปิฎกบาลีสยามรัฐอ่านและแปล ร้อยเอาบาทเดียว แปลไม่ออกสักตัว

พระคึกฤทธิ์ผิดตั้งมากมาย  ถึงวันนี้  จะจบได้หรือยัง


ชมคลิปพระคึกฤทธิ์จาบจ้วงพระสารีบุตร




การบิดเบือน ใส่ความ คือพฤติกรรมของสาวกวัดนาป่าพง



ในขณะที่สังคมกำลังถามว่า  “เสาอโศกต้นไหน มีคำว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย”  ตามคำกล่าวอ้างของพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง ที่กระทำการหลอกลวงประชาชนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า พุทธวจนปิฎกของตนนั้น  มีหลักฐานการบันทึกไว้ที่เสาอโศก ซึ่งเป็นหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุด

สาวกวัดนาป่าพง กลับตอบคำถามสังคม โดยบิดเบือนคำถามและใส่ความผู้ถาม ว่า  “ถ้าไม่เชื่อเสาอโศก ก็เท่ากับไม่เชื่อว่ามีพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นการตอบคำถามที่ไม่ต้องประเด็น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  ผู้ใช้ Facebook ชื่อ  Niti Kiertisakdesanee  กลับกระทำการกล่าวใส่ความกลุ่มผู้ถามว่า  “ไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง”  ไม่ทราบว่า  ใครคนไหนในกลุ่มประชาชนผู้ถามกล่าวเช่นนั้น ขอให้นาย Niti  แสดงหลักฐาน ถ้าแสดงไม่ได้ ข้าพเจ้าขอถือว่าท่านกล่าวมุสา เสียดสีและส่อเสียดผู้อื่น  เวลาจะแสดงความคิดเห็นหรือพาดพิงสิ่งใดหรือใคร สิ่งที่ท่านควรทำคือ แสดงหลักฐาน

บทความนี้ข้าพเจ้ายินดีรับผิดชอบทางกฎหมายทุกประการ ถ้านาย Niti ไม่พอใจอย่างใด  ฟ้องข้าพเจ้า  “ณัฐนันท์  สุดประเสริฐ”  ได้ทันที  ข้าพเจ้าพร้อมที่จะนำเรื่องเราการโกหกเกี่ยวกับเสาอโศกของพระคึกฤทธิ์ไปแสดงในศาล  และข้าพเจ้ารอโอกาสนั้นเสมอมา

บทความนี้ จึงขอถามย้ำท่านคึกฤทธิ์และสาวกว่า  “เสาอโศกต้นไหนมีบันทึกพุทธวจนะ ด้วยคำว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย”  รีบตอบประเด็นนี้ให้เร็วไว  อย่าได้อำพรางเบี่ยงเบนประเด็น


ไม่มีใครสงสัยในพระพุทธเจ้า หรือเสาอโศก ตามที่ท่านใส่ความ  ทุกคนชัดเจนในความเป็น ความอยู่  ความคือ ของเสาอโศกและพระพุทธเจ้า  แต่ที่ไม่ชัดเจนคือ  คำพูดของพระคึกฤทธิ์ต่างหาก ที่ประชาชนสงสัย ได้โปรดอ่านและทำความเข้าใจ

วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สงสารสาวกวัดนาป่าพง


นับตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๗  จนวันนี้  ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๗  ข้าพเจ้าเปิดประเด็นเสาอโศกโดยมองเห็นความสุ่มเสี่ยงว่า  พระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล  จะมีเจตนาฉ้อโกงประชาชน อันเป็นความผิดอาญาแผ่นดินหรือมีความผิดฐานขายของโดยหลอกลวง  อันเป็นความผิดต่อแผ่นดิน ต่อกรณีการโกหกประชาชนว่าพุทธวจนะถูกจารึกไว้บนเสาอโศก และสืบต่อจนมาเป็นพุทธวจนปิฎก ที่ท่านพิมพ์จำหน่าย

จากวันนั้น ยันวันนี้  เป็นเวลา ๑๕ วัน  ข้าพเจ้าเฝ้ามองสาวกท่านคึกฤทธิ์  แทนที่จะหันกลับไปหาข้อมูลว่า เสาอโศกบันทึกพุทธวจนะจริงหรือไม่  และบันทึกไว้ที่เสาอโศกต้นไหน 

๑๕ วันผ่านไป  ท่านยังไม่เข้าใจประเด็น แค่คำถามง่ายๆ  “เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะ”  ท่านกลับไปเข้าใจประเด็นว่า  “เสาอโศกเชื่อได้หรือไม่”  ยังคงเข้าใจผิดๆ เพราะหลงไปกับคลิปพระวัดเนินพระถามอาจารย์ท่านว่า เราจะเชื่อพุทธวจนะบนเสาอโศกได้อย่างไร 

ประเด็นที่ข้าพเจ้าถาม คนละประเด็นกับพระวัดเนินพระ 

ณ วันนี้ สังคมถามว่า  “เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะ”
“แม่งูเอ๋ย  กินน้ำบ่อไหน
กินข้าวบ่อทราย
แถไปก็แถมา”

สาวกท่านคึกฤทธิ์ กลับเลือกเสพข้อมูลโดยปฏิเสธข้อมูลที่ปรากฏความจริง โดยข้อมูลต่างๆ ล้วนระบุว่า  เสาอโศก บันทึก “อโศกวจนะ”  หรือ  โองการพระเจ้าอโศก   ถ้าจะเปรียบเทียบง่ายๆ ก็คือลักษณะศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงของเรานี่เอง

โดยเนื้อหาของเสาอโศกทั้ง ๑๓ ต้น ที่ประเทศอินเดียและเนปาล  จารึกถึงการค้นพบสังเวชนียสถาน และสถานที่สำคัญที่ปรากฏตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมาตั้งแต่พุทธกาล  (ระยะเวลา ๒๐๐ ปี ยังไม่ไกลนักที่จะสามารถบอกเรื่องราวต่างๆ ผ่านปากมนุษย์ได้) และในจารึกเสาอโศกยังปรากฏโองการพระเจ้าอโศกที่สั่งไม่ให้ประชาชนทำการบูชายัญ ทรงเล่าเรื่องราวการปฏิบัติตนในพระพุทธศาสนาของพระองค์ไว้ให้คนรุ่นหลังฟัง  ถ้าจะเปรียบเทียบ ก็เหมือนนิราศต่างๆ ที่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินท่านบันทึกไว้ให้คนรุ่นหลังได้อ่าน ได้ศึกษา

ข้าพเจ้าเพียรบอกไม่เว้นแต่ละวัน ทั้งหาคลิปให้ดู ให้ชม ให้ศึกษา   หวังว่า  พวกท่านจะกลับไปศึกษาข้อมูลและจะได้เข้าใจว่า อาจารย์ของพวกท่านแท้จริงแล้วเป็นคนเช่นไร  แต่พวกท่านกลับไม่มีแม้สักคนที่จะกลับไปศึกษา ตรงกันข้าม กลับเลือกที่จะปฏิเสธข้อมูลที่แท้จริงและพยายามเฟ้นหาข้อมูลที่บอกว่า เสาอโศกบันทึกพุทธวจนะ  ซึ่งท่านจะไม่มีวันหาพบ เพราะความจริงคือ ไม่มี  อาจารย์ท่านโกหก

ข้าพเจ้าเมตตาโดยหวังว่า พวกท่านจะไม่นำความรู้ผิดๆ นี้ไปเที่ยวขยายต่อ หรือเที่ยวไปทะเลาะกับใครในเรื่องนี้ เพราะท่านอาจจะเข้าข่ายสนับสนุนหรือร่วมกันกระทำความผิดกับอาจารย์ท่านได้  แต่พวกท่านหาได้ไยดีไม่

ความเมตตาของข้าพเจ้าสูญเปล่า เมื่อวันนี้  สาวกอย่างพวกท่าน กลับนำเอาข้อมูลที่พื้นที่สุด ซึ่งข้าพเจ้าได้เขียนให้ความรู้ไว้ในบทความของข้าพเจ้าแล้วตั้งแต่สองอาทิตย์ก่อนมาคุยโตโอ้อวดกันเสียใหญ่  หมายจะเอาข้อมูลที่ได้ไปเที่ยวไล่ตีกับฝ่ายตรงข้ามอาจารย์ท่าน

ตกลงท่านจะกู้หน้าให้อาจารย์  หรือจะช่วยฝังอาจารย์ลงใต้พื้นปฐพีกันแน่หนอ

พวกท่านเคยอ่านหนังสือกันเกินวันละ ๔ บรรทัดหรือไม่  นอกจากอ่านข้อความที่สนทนาไร้สาระ หรือสุมหัวพิมพ์ข้อความนินทาชาวบ้านใช้เวลาให้ผ่านไปวันๆ 

เคยอ่านหรือรับเอาองค์ความรู้ใดๆ เข้าใส่สมองหรือไม่  นอกจากหลับตาพริ้มฟังสิ่งที่ท่านคึกอาจารย์ของท่านป้อนให้อย่างเดียว 

ป้อนผิดป้อนถูกก็ไม่รู้  ป้อนข้าวหรือหญ้าก็ไม่แจ้ง ป้อนอะไรมากินทั้งนั้น 

ท่านไม่อ่านไม่ศึกษา หวังแต่ว่าวันๆ จะเข้าไปนั่งหลับตาฟังอาจารย์ท่านอย่างเดียว  ถ้าอาจารย์ท่านมรณภาพไป ใครจะพูดให้ท่านฟัง  ถ้าพวกท่านยังขืนเสพข้อมูลกันแบบนี้  ท่านก็จะจมปลักอยู่อย่างนี้  ไม่มีวันจะตะกายขึ้นมาได้เลย  

แถเสาอโศก โง่จริงหรือแกล้งโง่





หลังจากที่สาวกไร้สำนึกในใจของวัดนาป่าพงใส่ความผู้ที่ติเตียนพระคึกฤทธิ์แบบมีหลักฐานแล้ว ซึ่งรอไว้ถ้าพระคึกฤทธิ์ถูกสอบสวน ข้าพเจ้าจะกลับมาเล่นงานท่านอีกที

ข้าพเจ้าก็เห็นข้อความท่านกล่าวถึงการแก้ข้อหาเรื่องเสาอโศก

ในคำถาม ผู้สนใจเขาถามว่า  เสาอโศกมีพุทธวจนะจริงหรือ
ข้าพเจ้าเองก็ถามพระคึกฤทธิ์ แต่ไม่ได้รับคำตอบว่า เสาอโศกต้นไหนบันทึกคำว่า
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย”  อันท่านยืนยันว่า  ถ้อยคำนี้เท่านั้นเป็นพุทธวจนะ

ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่พูดว่า พุทวจนะไม่มีจริง ตามคำกล่าวของครูโจ มีแต่คนถามว่า "เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะ"  ครูโจอ่านภาษาไทยเข้าใจดีไหมคะ

เมื่อได้อ่านคำตอบของครูโจ  บอกได้คำเดียวว่า  ท่านยังไม่สามารถจับประเด็นคำถามง่ายๆ แค่นี้ได้เลย  ทั้งๆ ที่คำถามตรงไป ตรงมาและง่ายแสนง่าย หนำซ้ำท่านยังรับรองอีกว่า เสาอโศกบันทึกพุทธวจนะ และยกอุปมาให้คนคล้อยตามคำรับรองของท่าน

ครูโจ  ระวังไว้หน่อยนะคะ จะตอบคำถามอะไร ข้อมูลให้ชัดเจน  ตอบเขาให้ได้ว่า  “ดูกรภิกษุทั้งหลาย” อยู่ในเสาอโศกต้นไหนในประเทศอินเดีย

ถ้าวันหนึ่งประชาชนร้องเรียน ดำเนินคดีพระคึกฤทธิ์ คำตอบของครูโจ จะเป็นหลักฐานมัดตัวท่านในฐานะตัวการร่วมกันฉ้อโกงประชาชน จะหาว่าข้าพเจ้าไม่เตือน

หัวใจของสาวกวัดนาป่าพง ทำด้วยอะไร


สถานการณ์ทางสังคมในปัจจุบันนี้  ที่ส่งผลกระทบต่อวัดนาป่าพงและพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นไปในทางลบ  เพราะไม่ว่าจะเป็นมหาเปรียญ  นิสิต ครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ศิษย์กรรมฐานสายต่างๆ  รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ได้ทราบพฤติกรรมจาบจ้วงผู้อื่นของพระคึกฤทธิ์ฯ ต่างแสดงความรู้สึกไม่พอใจ และต่อต้าน ติเตียน จนถึงวิวาทด่าทอ

ทุกวันนี้สาวกวัดนาป่าพงถูกระดมด่า จาบจ้วง  สาวกวัดนาป่าพงท่านนี้รู้สึกด้วยหรือว่าตนและพวกพ้องรวมถึงพระอาจารย์ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ทุกคนในสังคมที่เขาติเตียนอาจารย์คุณและพวกพ้องของคุณ ก็ติเตียนด้วยพยานหลักฐานทั้งสิ้น คุณกลับกล่าวว่าเขากล่าวข้อความเท็จ

ในขณะที่ อาจารย์คุณกล่าวข้อความเท็จโดยไม่มีหลักฐานว่า
“โยมก็จะเห็นพระจำนวนมากใช่มั้ย อย่างใน มจร มมร นั่งเรียนคำแต่งใหม่หมดเลย เพราะเขาไม่เห็นโทษไง เปรียญหนึ่งถึงเก้า โยมไปดูตำราเปรียญหนึ่งถึงเก้า ตำราแต่งใหม่หมดเลย ตำราอรรถกถา 
นักธรรมตรี โท เอก ก็อรรถกถา เขาจะสอนเลยนะ ไปซื้อนักธรรมโท นักธรรมเอก วิธีทำน้ำมนต์ทำยังไง เขาจะสอนพวกนักธรรมไว้หมดเลย วิธีปลุกเสกทำยังไง สวดภาณยักษ์ทำยังไง เขาเอาเดรัจฉานวิชามาสอนให้พระทำเห็นไม๊ คือความเข้าใจผิด นี่เขาก็ไประดมซื้อหนังสือพระมาลัยมาทั้งท้องตลาดเลย มันมีกี่รุ่นกี่เวอร์ชั่น แล้วแต่งกันบานออกไปเต็มไปหมดเลยนะ อย่างเนี้ย นี่ก็กำลังให้ไปหาหนังสือของกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ท่านยืนยันเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะได้มีเรฟเฟอร์เร้นท์ไว้ในมือ” 

ข้อความดังกล่าว เป็นการใส่ความผู้สอนและผู้เรียนปริยัติธรรมในมหาวิทยาลัยสงฆ์  นักธรรม เปรียญธรรม  ว่า  สอนการทำเดรัจฉานวิชา  ซึ่งไม่เป็นความจริง ในการกล่าวใส่ความดังกล่าว บุคคลที่คุณเรียกเขาว่าอาจารย์  ได้กล่าวลอยๆ โดยไม่มีหลักฐานว่าหนังสือเรียน หรือการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยสงฆ์นั้น เป็นการเรียนการสอนเดรัจฉานวิชาแต่อย่างใดหรือไม่ได้เรียนพุทธวจนะแต่อย่างใด

“ศาสดาบัญญัติหรือว่าพระต้องเรียนอันนั้น ใครบัญญัติ ใครสร้างหลักเกณฑ์นี้ขึ้นมา  มาถูกสร้างยุคหลังๆ สมัย ร.๔, ร๕ นี่เอง พุดเจ้าไม่ได้บัญญัติเปรียญ ๑-๙ ไม่ได้บัญญัตินักธรรมตรี โท เอก พุดเจ้าบัญญัติธรรมและวินัย  เนี่ยเรา...มันสับสน มันฝังลึกมานานนะ มันอยู่ในระบบสังคมจนผิดมายาว มันแก้ยากเหมือนกันนะ  โยมไปถามพวกเรียนเปรียญ ๑-๙ เขาไม่รู้จักพุทธวจนะด้วย  แล้วแถมว่านอกจากเรียนอรรถกถาแล้ว ยังไปเรียนนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์  ไปเป็นด๊อกเตอร์จบปริญญาตรี โท เอก แล้วก็สึกมาทำงานทางโลก พวกนี้นี่เบียดบังสังคมนะ กินฟรี นอนฟรี จบปริญญาตรี มาทำงานกับโยม โยมนั่งรถเมล์แทบตาย เหนื่อย หาเงินเช้าเย็น ไอ้พวกนี้เรียนฟรีหมดเลย นี่ถ้าเป็นระบบคอมมิวนิสต์นี่โอ้โหโดนโจมตีตายเลย  คุณบวชเป็นสมณะแล้ว เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว ไม่ใช่มุ่งหมายไปเอาปริญญาตรี โท เอก คุณไปเทียบให้เขาทำไม  ไม่มีสิทธิเทียบ ”  

ผลของคำส่อเสียดของอาจารย์คุณ ทำให้เกิดการจาบจ้วงผู้ศึกษาพระไตรปิฎก บาลี และอรรถกถา จากสาวกอย่างพวก  คุณมีสิทธิอะไรไปจาบจ้วงด่าทอเขา




ในวันที่อาจารย์คุณด่า มจร มมร เปรียญธรรม นักธรรม ว่าเรียนเดรัจฉานวิชา ไม่เรียนพุทธวจนะ เบียดบังสังคม แล้วสาวกสารเลวก็พากันเข้าไปชี้หน้าด่าพวกเขาและครูบาอาจารย์พวกเขา คุณเคยคิดถึงหัวอกพวกเขาบ้างหรือไม่

เวลาอาจารย์ตัวด่าคนอื่นก็บอกว่าอาจารย์พูดความจริง ทั้งๆ ที่คุณไม่เคยไปศึกษาเรียนรู้หรือสอบถามเปรียญสักคนว่าไม่รู้พุทธวจนะจริงหรือไม่

ความยุติธรรมอยากเรียกร้องให้ตัวเอง ในขณะที่ยัดเหยียดความอยุติธรรมให้ผู้อื่น

นี่คือสัจจะที่คุณต้องเรียนรู้
คุณรักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด ผู้อื่นก็รักสุขเกลียดทุกข์ฉันนั้น
 “ดูกรพราหมณ์และคหบดีทั้งหลาย ผู้ใดพึงทำลายประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ถ้าเราพึงทำลายประโยชน์ของคนอื่นด้วยการกล่าวเท็จ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น...อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้แล้วตนเองย่อมงดเว้นจากมุสาวาท...

“....อีกประการหนึ่ง ผู้ใดพึงยุยงเราให้แตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ถ้าเราพึงยุยงเราให้แตกจากมิตรด้วยคำส่อเสียด ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น...อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้แล้วตนเองย่อมงดเว้นจากปิสุณาวาจา (คำส่อเสียด)...

“....อีกประการหนึ่ง ผู้ใดพึงพูดกับเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ถ้าเราพึงพูดกับเราด้วยคำหยาบ ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น...อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้แล้วตนเองย่อมงดเว้นจากผรุสวาจา (คำหยาบ)....

“....อีกประการหนึ่ง ผู้ใดพึงพูดกับเราด้วยคำเพ้อเจ้อเหลวไหล ข้อนั้นไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา ถ้าเราพึงพูดกับเราด้วยคำเพ้อเจ้อเหลวไหล ข้อนั้นก็ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น...อริยสาวกพิจารณาเห็นดังนี้แล้วตนเองย่อมงดเว้นจากคำเพ้อเจ้อเหลวไหล....”

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

พระสูตรนี้ว่าด้วยการน้อมเข้ามาใส่ตน หรือให้นึกถึงอกเขาอกเรา  คุณเคยคิดและทำบ้างหรือไม่
ถ้าอาจารย์คุณประพฤติดี มีศีล มีธรรม ใครเล่าจะติเตียนได้  แต่นี่ถ้อยคำส่อเสียด ด่าทอดังกล่าวล้วนออกมาจากปากอาจารย์คุณทั้งสิ้น

ผลกรรมที่คุณทำนี้ จะทำให้ทั้งชีวิตคุณไม่สามารถเรียกหาความยุติธรรมใดๆ ได้อีกเลย เมื่อถึงวันที่วิบากแห่งกรรมสนองกลับพวกคุณ  จงระลึกถึงเหตุแห่งกรรมนี้ไว้สอนใจตนให้ดีก็แล้วกัน
ณ วันนี้ อาจารย์ของคุณ กำลังรับกรรมนั้นอยู่  โปรดเรียนรู้และทำความเข้าใจ

หัวใจของพวกคุณทำด้วยอะไร จึงได้คับแคบนัก


วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เสียดสี ใส่ความ มหาเถรสมาคม หลังเข้ากราบเจ้าประคุณสมเด็จวัดปากน้ำ






จากการที่มีผู้ร้องเรียนพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล  ว่าทำการสวดปาฏิโมกข์ ๑๕๐ ข้อ ผิดพระธรรมวินัย  พระคึกฤทธิ์ได้ชี้แจงต่อมวลชนว่า ตนกระทำตามพุทธวจนะซึ่งพระพุทธองค์บัญญัติไว้ในพระสูตร  และยังยกหนังสือวินัยมุขซึ่งเป็นหนังสือในชั้นเรียนนักธรรมตรีมาพิงหลัง  ในขณะนี้ตนเองก็จาบจ้วงการศึกษานักธรรมตรี  โท  เอก  ว่าเรียนเดรัจฉานวิชา ไม่เรียนพุทธวจนะ

หลังจากที่มหาเถระสมาคมมีมติไม่เอาผิดพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล  แต่ขอให้สวดปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ ให้เหมือนชาวบ้านนาๆ อารยะประเทศ  ทั้งมีการชี้แจงโดยพระผู้ใหญ่  แม้แต่พระเดชพระคุณพระพรหมบัณฑิต  ท่านอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยท่านก็ได้ออกมาชี้แจง  ซึ่งสาวกของท่านคึกฤทธิ์ก็พากันด่าทอสาปแช่งพระเดชพระคุณท่านให้ตกนรกหมกไหม้ เพราะตัดทอน “ศีลพระ”  ให้เหลือ  ๒๒๗  ข้อ  ข้าพเจ้าก็งง  สังคมเขาพูดถึง “วินัยในพระปาฏิโมกข์”  แต่ท่านคึกฤทธิ์และสาวกกลับแถไปเรื่อง “ศีล”

ท่านคึกฤทธิ์และสาวกยอมรับคำตัดสิน แต่หาได้ยอมด้วยใจไม่  ในขณะที่สาวกกลุ่มหนึ่งก็หมายจะนำเอาภาพที่ท่านคึกฤทธิ์เข้ากราบเจ้าประคุณสมเด็จไว้เป็น  “ไม้กันหมา”  กันคนร้องเรียนท่านคึกฤทธิ์อีก จะได้อ้างได้ว่า ท่านคึกฤทธิ์เข้าถึงเนื้อถึงตัวผู้หลักผู้ใหญ่สูงสุดในเถระแห่งบ้านเมืองนี้ 

แต่ทางด้านสาวกสายฮาร์ทคอร์ก็ทำพุทธวจนตูน  ออกมาเสียดสีการยอมรับดังกล่าวว่าตนไม่ยอมรับแต่ถูกบังคับให้รับ ยังคงยืนยันความถูกต้องของพระปาฏิโมกข์ว่ามีเพียง ๑๕๐ ข้อ แม้ตนและพวกวัดนาป่าพงจะเป็นวัดเดียวในโลก  เป็นภิกษุกลุ่มเดียวในโลกและในรอบสองพันห้าร้อยกว่าปี  ก็ตาม

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า  ณ วันนี้  ท่านคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล ยังไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นและเปิดใจรับองค์ความรู้จากใคร  ทั้งๆ ที่เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องเข้าใจง่ายมากๆ ไม่ใช่เรื่องเข้าใจยากแต่อย่างใด  นอกจากไม่เปิดใจแล้ว  ยังยืนยันอยู่กับกระบวนการการเรียนรู้ที่ผิดฝาผิดตัว ผิดทางจนเข้ารกเข้าพงของตน  ฤาท่านคึกฤทธิ์จะรอให้มีการเผาพุทธวจนปิฎกและหนังสือพุทธวจนของสำนักท่านกลางท้องสนามหลวงเสียก่อนกระมัง ท่านคึกฤทธิ์จึงค่อยเริ่มคิดทบทวน 

พระนั่งหอนในงานสวดศพ วาทะกรรมพระคึกฤทธิ์ แล้วพระพิธีธรรมหล่ะ นั่งหอนด้วยหรือเปล่าหนอ



ธรรมเนียมการสวดพระอภิธรรมในงานศพของชาวบ้านที่พระคึกฤทธิ์กล่าวว่าพระมานั่งหอนกันนั้น ได้รับอิทธิพลมาจากโบราณราชประเพณี ซึ่งมีการสวดพระอภิธรรมในงานพระบรมศพและพระศพ พระที่สวดพระอภิธรรมทำนองหลวงนั้น จะต้องได้รับแต่งตั้งจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในพระราชพิธีศพนั้น จะมีพระพิธีธรรมสลับกันสวดทั้งกลางวันและกลางคืน ตัวอย่างเช่น ในงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

ปัจจุบัน มีพระพิธีธรรม สวดพระอภิธรรมในงานพระราชพิธี จํานวน ๙ วัด ได้แก่ วัดราชสิทธาราม วัดระฆังโฆสิตาราม วัดอนงคาราม วัดประยุรวงศาวาส วัดพระเชตุพนวิมลมังคลา ราม วัดมหาธาตุวยุราชรังสฤษฎิ์ วัดสุทัศนเทพวราราม วัดสระเกศ และวัดจักรวรรดิราชาวาส

บทที่ใช้สวดพระอภิธรรมล้วนมาจากพระอภิธรรมปิฎกที่สืบทอดกันมาเป็นพันๆ ปี ท่านคึกฤทธิ์เพิ่งเกิดได้ไม่กี่สิบปี แต่ใช้วาจาจาบจ้วงการสวดพระอภิธรรมได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนี้พระคึกฤทธิ์ต้องตอบที่ท้องสนามหลวง

"
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ โดยรถยนต์พระที่นั่ง ยังพระที่นั่งพิมานรัตยา ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งถึง ทั้งสองพระองค์เสด็จขึ้นทางบันไดมุขกระสัน พระที่นั่งพิมานรัตยา เข้าไปในพระฉากที่พระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ บรรทมอยู่บนพระแท่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทองน้อยหน้าพระศพ บูชาพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร

สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับขวดน้ำพระสุคนธ์ ถวายสรงที่พระศพ และทรงคม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงรับหม้อน้ำพระสุคนธ์ และโถน้ำขมิ้น จากเจ้าพนักงานสนมพลเรือน ถวายสรงที่พระอุระพระศพ จากนั้นทรงหวีพระเกศาขึ้นครั้งหนึ่ง และหวีลงอีกครั้งหนึ่ง แล้วหักพระสางวางไว้ในพาน ซึ่งเจ้าพนักงานเชิญอยู่

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปประทับพระราชอาสน์ ที่นอกพระฉาก

นายแก้วขวัญ วัชโรทัย เลขาธิการสำนัก พระราชวัง กราบบังคมทูลเชิญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปทรงวางของพระศรีบรรจุดอกบัว และธูปเทียน ทรงรับแผ่นทองคำจำหลักลาย ปิดพระพักตร์ และทรงรับพระชฎาทองคำวางข้างพระเศียร เจ้าพนักงานเชิญพระศพลงสู่หีบศพ ตำรวจหลวงเชิญไปประดิษฐานหลังพระแท่นแว่นฟ้าทอง ประกอบพระลองทองใหญ่ ภายใต้เศวต ฉัตร 5 ชั้น แวดล้อมด้วยเครื่องสูงทอง แผ่ลวดบังแทรกชุมสายต้นไม้ทอง ต้นไม้เงิน ณ มุขตะวันตก พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงวางมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะพระศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการเครื่องพระพุทธรูป และทรงทอดพระไตร พระสงฆ์ 84 รูป สดับปกรณ์ ถวายอนุโมทนา ถวายอดิเรก ถวายพระพรลา

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนที่พระแท่น พระสวดพระอภิธรรม แล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับ

ทั้งนี้ เช้าวันที่ 3 ม.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถวายภัตตาหารเช้า มีพระพิธีธรรมสวดพระอภิธรรมประจำ ทั้งกลางวัน และกลางคืน และพระราชทานฉันเช้า 8 รูป เพล 8 รูป มีกำหนด 100 วัน"