วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ถ่ายรูปศพพ่อ ศพแม่ แข่งกันโพสต์ ช่วยพระหากิน


เห็นพฤติกรรมสาวกพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล  แล้วได้แต่สมเพช เวทนา   ปนสงสารคนตายที่ลูกหลานเนรคุณ   ยอมเอาศพพ่อแม่  คนรู้จัก  ญาติโยมทั้งหลายโพสต์แข่งกันเพื่ออวดการทำความดีของตนที่ได้นำคำสอนยี่ห้อ    “พุทธวจน”      จากปากผ่านหนังสือของพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เจ้าอาวาสวัดนาป่าพงไปอ่านให้คนใกล้ตายฟัง  อ่านจนตายแล้วคอยถ่ายรูปมาโพสต์อวดกัน โชว์เต็มๆ ไม่ได้มีการเบลอภาพแต่อย่างใด  ภาพที่เบลอนี่ไม่ใช่ผู้โพสต์ซึ่งเป็นลูกหลานคนตายดอกที่เบลอ แต่เพื่อนชาวเน็ตเห็นแล้วสงสารคนตาย  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องประจานพฤติกรรมลูกหลานเนรคุณ จึงได้ทำภาพเบลอไว้ให้  เบื้องหลังการโพสต์อวดกันคือการตกหลุมถูกใช้เป็นเครื่องมือโดยไม่รู้ตัว 


เป็นเอามากแล้วสวกวัดนาป่าพง ยี่ห้อพุทธวจน ขนาดคนโดนรถชนตาย ฆ่ากันตาย หนังสือพิมพ์ยังเบลอหน้าศพเพื่อให้เกียรติคนตาย

เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินสิ้นพระชนม์อย่าหวังเห็นพระศพ เพราะเขาถวายเกียรติ

แต่นี่อะไร ลูกหลาน ญาติกัน กลับเอาศพคนตายออกมาช่วยเจ้าสำนักโฆษณา จำเป็นหรือต้องทำแบบนี้ เพียงแค่อยากโฆษณาพุทธวจนของลัทธิตน ถึงขนาดขายศพพ่อแม่ให้กับลาภสักการะ คำเยินยอขนาดนี้เชียวหรือ นี่หรือชาวพุทธไทย งมงายยิ่งกว่าพ่นน้ำหมาก ขากเสลด ปลุกเสก ให้หวย ไหว้ศาล ที่ลัทธินี้เที่ยวติเตียนผู้อื่นเสียอีก

ความงมงายรูปแบบใหม่จากกลุ่มคนที่ยกตนว่าศึกษาคำพระศาสดา  ยกตนว่าพวกตนเท่านั้นที่รู้พุทธวจนะของจริง  พระพุทธเจ้าสอนให้เอารูปศพพ่อ ศพแม่ มาโพสต์อวดกันในพระสูตรไหนไม่ทราบ  คนโพสต์นี่จะทราบมั้ยว่า  รูปพ่อ รูปแม่ รูปญาติพวกท่านจะอยู่ในระบบอินเตอร์เน็ตไปนานเท่านั้น  เมื่อไหร่ที่ศรัทธาอยู่เหนือปัญญา  คนเหล่านี้คงมองพฤติกรรมตนเองอีกที ในแบบที่แทบจะให้อภัยในความโง่ของตนไม่ได้เลย 

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2557

alittlebuddha สับแหลก ปธ ๙ ยกตำแหน่งโฆษกมหาเถรให้ผู้หญิงไปเลยดีกว่า



อย่างล่าสุด คุณนายคึกฤทธิ์ วัดนาป่าพง ได้ออกมาตัดลัดพระปาติโมกข์ โขกสับพวกเรียนบาลีว่า "ไม่มีประโยชน์" เหยียดหยามว่าเป็นถึงเดียรถีย์ไปโน่น แอนตี้อรรถกถาที่พวกมหาเรียน แต่ถามว่า "พวกประโยคเก้าหายหัวไปไหน" ทำไมไม่มีใครพูด แถมประโยค 9 ที่เป็นศาสตราจารย์ เป็นอธิการบดี ยังเอามหาวิทยาลัยสงฆ์ไปร่วมงานกับคึกฤทธิ์อีกต่างหาก ขี้ใส่กางเกงกันเต็มบ้านเต็มเมือง ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชื่อ "ครูนัท-หนอนพระไตรปิฎก" ออกมาเป็นกองหน้า เอาครูคนนี้มาเป็นโฆษกมหาเถรไม่ดีกว่าหรือ ? เปรียญธรรมสมาคมล่ะมีไว้ทำไม ไล่ให้พ้นวัดสามพระยาไปสิ อยู่ไปก็เปลืองน้ำไฟเสียเปล่า ?

เรียนบาลีกันไปทำไม เรียนแล้วไม่ปกป้องพระธรรมวินัย เรียนไว้แค่ในหัว เรียนงูๆ ปลาๆ เก่งแต่ในห้องเรียน พอเห็นคึกฤทธิ์สอนบาลีก็หดหัวกันหมด ยุบทิ้งสำนักเรียนบาลีได้แล้ว ยิ่งเรียนก็ยิ่งโง่ ไม่มีศักดิ์ไม่มีศรีอะไรหรอก จริงๆ นะฮะ ไม่ได้ประชดเลย ยกประเทศไทยให้ "สมเด็จพระธัมมชโย" กับ "นายคึกฤทธิ์" ไปครอง ง่ายกว่าเสียอีก อยากได้อะไรก็ง่ายๆ แค่ไป "กราบตี..ธัมมชโย" ทุกอย่างก็จะสมประสงค์


วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ดราม่าเสาอโศก ความซับซ้อนที่พระคึกฤทธิ์เท่านั้นที่รู้



ความซับซ้อนของเสาอโศกจากปากพระคึกฤทธิ์เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ  

สืบเนื่องจากสาวกสำนักวัดนาป่าพงแสดงความคิดเห็น หรือแสดงภูมิความรู้เกี่ยวกับเสาอโศกไว้ตามอินเตอร์เน็ตต่างๆ  โดยย้ำว่า  หลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของพุทธวจนะมาจากเสาอโศก  ความเข้าใจแบบนี้เกิดจากการที่พระคึกฤทธิ์เอง  ไปบรรยายที่ไหนก็ตาม  ก็จะพูดเรื่องเสาอโศกไว้แบบนี้  แม้แต่การบรรยายออกทีวีหลายช่องก็บรรยายแบบนี้  ทำให้สาวกรวมไปถึงประชาชนเข้าใจตามที่ท่านคึกฤทธิ์พูด 

จนถึงวันหนึ่ง  สังคมไทยพากันตั้งคำถามพระคึกฤทธิ์ว่า  เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะ มีคำว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หรือ  ดูกรแล้วตามด้วยชื่อผู้ฟัง”   ตามทฤษฎีที่พระคึกฤทธิ์ตั้งเอง   เออเองว่า  ต้องมีคำว่า    ดูกรภิกษุทั้งหลาย   หรือ   ดูกรแล้วตามด้วยชื่อเท่านั้นจึงจะนับเป็นพุทธวจนะ  และปฏิเสธอุทานคาถาที่ไม่ได้ขึ้นต้นด้วยดูกร....ตามทฤษฎีของท่านเอง  ไม่ใช่ตามทฤษฎีที่ประชาคมชาวพุทธเถรวาททั่วโลกยอมรับ

ท่านคึกฤทธิ์ ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้  เพราะในความจริงแล้ว เสาอโศกไม่มีการบันทึกพุทธวจนะแต่อย่างใด  ในครั้งแรก  ทุกคนในสังคมก็เชื่อว่า  ท่านคึกฤทธิ์ พูดไปเพราะขาดความรู้จริง คงจะคิดเองเออเองอีก  แล้วพูดเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับหนังสือและผลงานการเผยแพร่ลัทธิของตนเอง 

จนเมื่อวันนี้  สาวกท่านคึกฤทธิ์ เริ่มนำคลิปเก่า เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม  ๒๕๕๕   มาแสดงว่า พระคึกฤทธิ์พูดไว้ชัดว่า  “เสาอโศกไม่ได้มีพุทธวจนะ พุทธวจนะนั้นมาจากความทรงจำของสาวกสืบต่อกันมา”   แต่เมื่อมาดูในคลิปต่างๆ ที่พระคึกฤทธิ์พูดไว้เรื่องเสาอโศกแล้ว จะเห็นได้ว่า  หลังปี ๒๕๕๕  พระคึกฤทธิ์กล่าวย้ำตลอดเวลาว่า  เสาอโศกคือหลักฐานที่เก่าที่สุดที่บันทึกพุทธวจนะ  เช่น ในรายการ ทไวไลท์โชว์  วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗  และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในคลิป  “พุทธวจนสนทนา ช่วงหลังฉัน วันอาทิตย์ที่ ๒๖พฤษภาคม ๒๕๕๖”  พระคึกฤทธิ์ กลับยืนยันว่า  “ในพระสูตรนี้ เราก็แกะให้ตรงกันด้วย  เราแกะอักษรพราหมีให้ตรงกับพระสูตรในภาษาไทยด้วย ถ้าใครอ่านอักษรพราหมีเป็น ก็จะเข้าใจตรงพระสูตรนี้ด้วย”

นาทีที่ ๑.๐๒.๒๘ เคยพูดไว้ว่า เสาอโศกไม่ได้บันทึกพุทธวจนะ  พุทธวจนะสืบทอดมาจากความทรงจำของสาวก






อะไรเกิดขึ้นในความคิดของพระคึกฤทธิ์หลังปี  ๒๕๕๕  ซึ่งความรู้ที่พระคึกฤทธิ์พูดออกมานั้นเป็นความรู้ที่ถูกต้องแล้ว  และอะไรทำให้ความคิดของท่านเปลี่ยนไป  การได้ข้อมูลใหม่หรือเจตนาซ่อนเร้นบิดเบือนความจริงทั้งๆ ที่รู้ความจริงกันแน่

ข้าพเจ้าเคยตั้งข้อสังเกตไว้แล้วเมื่อนำความจริงเรื่องนี้ออกมาตีแผ่ว่า ข้าพเจ้าไม่คิดว่า  คนที่มีความรู้ มีการศึกษาอย่างพระคึกฤทธิ์  จะไม่รู้ข้อมูลที่ถูกต้อง  การแสดงสิ่งที่ผิดในภายหลังจึงเป็นการโกหกคำโตต่อสังคม  ซึ่งถือเป็นการบิดเบือนข้อมูลสู่สังคม  ในวันนี้  สมมุติฐานของข้าพเจ้าได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า  พระคึกฤทธิ์รู้ว่าความจริงคืออะไร  และบิดเบือนความจริงในภายหลัง  แต่สิ่งที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้คือ  ท่านทำเพื่ออะไร  และนี่คือคำถามที่สังคมจะมีต่อท่าน  ให้ท่านต้องตอบคำถามสังคมเป็นคำถามต่อไป 

สำหรับข้าพเจ้า  รู้สึกขอบคุณท่านคึกฤทธิ์และเหล่าสาวกที่ช่วยนำคลิปเมื่อปี ๒๕๕๕ มาแสดง ทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องด้วยข้อกล่าวหาว่า  “ใส่ความ”  ว่าท่านคึกฤทธิ์บิดเบือนข้อมูล  เพราะหลักฐานที่ท่านนำมาแสดงในวันนี้ ชัดเจนแล้วว่า  ท่านมีความรู้จริง หากแต่ปกปิดความจริงไว้ แล้วนำความเท็จมาบิดเบือน พยานหลักฐานชุดนี้  จะนำไปสู่การสืบสวน  สอบสวนต่อไปในภายภาคหน้าเพื่อหาเจตนาของท่านต่อไป 

ที่แน่ๆ  ไม่ใช่การบกพร่องโดยสุจริตอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อริยุปวาทกรรมโดยไม่รู้ตัวของสาวกวัดนาป่าพง



สาวกวัดนาป่าพง หมายเลขสมาชิก 145 นี้ เคยออกมาแสดงความคิดเห็นปกป้องพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ในเรื่องที่ตนแปลบาลีผิดแต่กลับกล่าวหาว่า คนที่แปลพระไตรปิฎกบาลีแปลผิดกันทั่วประเทศ  ต่อกรณีการแปล สกิเทว อันโด่งดัง
ติดตามอ่านรายละเอียดการปกป้องพระคึกฤทธิ์จนขาดสติของสมาชิกหมายเลขนี้ได้ที่ กระทู้
“พระคึกฤทธิ์โชว์ห่วย  แปลบาลี  สกิเทว”

มาถึงวันนี้  เมื่อมีผู้นำอรรถกถาอาการ ๓๒ และภาพการพิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ไปแสดง สมาชิกหมายเลขดังกล่าว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสาวกพระคึกฤทธิ์หรือผู้สนับสนุนพระคึกฤทธิ์ก็ตาม ได้กล่าวใส่ความพระสารีบุตร ผู้เป็นพระอรหันตสาวก อันพระผู้มีพระภาคตั้งแล้วในตำแหน่ง พระธรรมเสนาบดี 

และนี่คือพฤติกรรมของสาวกวัดนาป่าพงที่มีต่ออรรถกถา ตามที่พระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล อบรมสั่งสอนมาให้เหยียดหยามอรรถกถา โดยไม่มีความรู้ในเรื่องชั้นของอรรถกถา อ่านอรรถกถาไม่เป็น วันนี้เลยเจอตอ อริยุปวาทกรรมพระสารีบุตรจนได้  เห็นแล้วได้แต่เวทนา การอ่านอรรถกถาจะต้องอ่านด้วยความรู้พื้นฐาน วางใจเป็นกลางโดยเข้าใจว่า อรรถกถาเป็นเพียงคำอธิบายพุทธวจนะของพระศาสดาเท่านั้น  การอ่านจึงต้องกระทำเพียง “อ่านเอาความรู้  ไม่ใช่อ่านเอาความจริง”  เราไม่มีวันทราบความจริงในสิ่งที่เราไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินมาด้วยตัวเอง แม้แต่สิ่งที่เรารู้ เราเห็น เราได้ยินมาด้วยตัวเองก็ยังอาจเป็นมายาได้เลย  ความจริงจึงอยู่ที่ “กายและใจ” ของเรา  พึงนำเอาความรู้จากคัมภีร์ไปหาความจริงในกายและใจของตัวเราเอง จะเป็นประโยชน์กว่า

การอ่านอรรถกถาพึงดูด้วยว่า  “ใครเป็นผู้อรรถกถา” ในเรื่องนั้นๆ  พึงศึกษาการแยกชั้นอรรถกถาให้ดี

สำหรับท่านคึกฤทธิ์  คงต้องนับว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาและศาสนิกชนยิ่ง เพราะสามารถทำให้สาวกก็ตาม  ผู้ซึ่งสนับสนุนก็ตาม  กล่าวอริยุปวาทกรรมพระอรรถกถาจารย์ในพุทธกาลได้โดยขาดสติ ท่องเอาเพียงแต่ที่ท่านคึกฤทธิ์สอนว่า “อรรถกถาคือคำแต่งใหม่ ไม่ต้องไปสนใจ”   “คำสาวกอย่าไปฟัง ฟังแต่คำพระตถาคตเท่านั้น”  ส่วนสาวกของท่านคึกฤทธิ์ กลับทำตามคำสาวกอย่างท่านคึกฤทธิ์กันเป็นทิวแถวเทียว

ความไม่เป็นสาระของวัดนาป่าพง ด้วยเรื่อง หทัยวัตถุ




จากกระทู้เว็บพันทิป

หลังจากที่สาวกท่านคึกฤทธิ์อ่านบทความเกี่ยวกับอรรถกถาไป สาวกท่านคึกชื่อนาย "คนดู" ในเว็บพันทิปก็ออกมาโต้เถียงในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่า  “คำว่าหทัยวัตถุไม่ใช่พุทธวจนะ เป็นสัทธรรมปฏิรูป” แทนที่จะเลือกดูในสิ่งที่เป็นสาระของการบรรยายลักษณะของหทัยวัตถุ

ใครๆ ก็รู้ว่า อภิธัมมัตถสังคหะเป็นคัมภีร์ที่แต่งขึ้นในชั้นหลังเพื่ออธิบายพระอภิธรรมปิฎก  คำว่า "หทัยวัตถุ"   จึงเป็นคำสาวกแน่นอน แต่.......คำสาวกนั้นอธิบายสาระผิดไปจากอรรถกถาของพระอรหันตสาวกหรือไม่ ซึ่ง ณ วันนี้ วิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์ลักษณะของหัวใจแล้วว่าไม่ผิดจากอรรถกถา

คำนั้นบัญญัติขึ้นใหม่เพื่อขยายความหมายของคำเดิมไม่ให้ต้องตีความ ส่วนธรรมนั้นไม่ได้บัญญัติขึ้นใหม่ หากแต่ยังคงเนื้อหาตามเดิมทุกประการ

นี่คือลักษณะจับผิดเพ่งโทษของสาวกวัดนาป่าพง ซึ่งได้ดังใจท่านคึกฤทธิ์ที่อบรมสั่งสอนมา โดยที่พวกเขาเหล่านั้น “รู้ไม่สักแต่ว่ารู้”     ในขณะที่อาจารย์ตนทำสัทธรรมปฏิรูปเต็มที่ด้วยการแปล สกิเทว ผิด และหลอกลวงชาวบ้านเรื่องเสาอโศก ตนกลับไม่เคยใส่ใจและเห็นว่าเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย

หัวใจนี้จะชื่อว่า หทัยวัตถุ หรือไม่ จะทำให้คนอ่านตกอบายได้เลยหรือ ข้าพเจ้าว่า พฤติกรรมจับผิดเพ่งโทษใส่ความผู้อื่น  ทำสัทธรรมปฏิรูปตัดทอนพระไตรปิฎก  บิดเบือนประวัติศาสตร์เรื่องเสาอโศกอันเป็นการมุสาแบบที่เจ้าสำนักวัดนาป่าพงทำนี่ต่างหาก ที่เป็นสาระให้ตกอบาย

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2557

อรรถกถาที่วัดนาป่าพงไม่เคยเห็น



ข้าพเจ้าเห็นพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโลและสาวกวัดนาป่าพง ดีแต่ดิสเครดิตอรรถกถา  จ้องทำลายอรรถกถา  โดยยกเอาอรรถกถาที่มีการบรรยายในลักษณะพิลึกมาแสดง  แต่ไม่เคยเห็นสักครั้งที่จะยกอรรถกถาที่มีประโยชน์และวิทยาศาสตร์การแพทย์พิสูจน์แล้วในเรื่องร่างกายมนุษย์อย่างอาการ ๓๒ มาแสดงเลย  ข้าพเจ้าขอให้ผู้อ่านได้โปรดทำใจเป็นกลาง ให้ความยุติธรรมกับอรรถกถาและพระอรรถกถาจารย์ด้วยการกดตามลิงค์เข้าไปอ่านคำบรรยายของพระอรรถกถาจารย์เกี่ยวกับร่างกายมนุษย์ก่อนตัดสินใจคล้อยตามข้อมูลที่หยาบและปกปิดอำพรางของวัดนาป่าพง

สามีของข้าพเจ้าเป็นนายแพทย์ ข้าพเจ้าจึงนำคำบรรยายของอรรถกถาให้สามีได้ดูและสอบถามความรู้ทางการแพทย์กับสามีด้วย  ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้ามโนเอาเองแต่อย่างใด

ข้าพเจ้าอยากถามสาวกวัดนาป่าพงที่เป็นคุณหมอ  เคยอ่านอรรถกถาเหล่านี้แล้วหรือยัง เคยนำองค์ความรู้วิชาการแพทย์ของตนมาสอบสวนลงในอรรถกถาเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์หรือไม่ ถ้ายัง ทำซะ 

ร.ศ.น.พ.ทองคํา สุนทรเทพวรากุล แผนกต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลราช  ท่านทำแล้ว  คุณหมอที่ยังไม่ได้ศึกษาลองดูนะ ไม่เช่นนั้น คุณหมออาจจะตกเป็นเหยื่อผู้หมายทำลายมรดกทางพระพุทธศาสนาได้ เป็นบาปกรรม และเสียชื่อ  "มนุษย์พันธุ์พิเศษ"  แห่งชาติไทย







มตฺถลุงฺคํ - มันสมอง ได้แก่ กองแห่งเยื่อรวมกันแล้วมีจำนวน ๔ ก้อน ตั้งอยู่ที่รอยเย็บ ๔ แห่งภายในกระโหลกศีรษะ.

อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา  อภิญเญยยนิทเทส






เมล็ดบุนนาค



หทยวัตถุรูป เป็นที่ตั้งหรือที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ อันได้แก่ จิตที่ไม่ได้อาศัยปสาทรูปทั้ง ๕ ข้างต้น เป็นที่เกิด อยู่ภายในช่องเนื้อหัวใจ ซึ่งมีลักษณะเหมือนบ่อ มีโลหิตอันเป็นน้ำหล่อเลี้ยงหัวใจบรรจุอยู่ประมาณ ๑ ซองมือ มีสัณฐานโตประมาณเท่าเมล็ดในดอกบุนนาค เป็นรูปอันเป็นที่อาศัยเกิดของมโนวิญญาณ
(อ้างอิง:พระอภิธัมมัตถสังคหะ ปริจเฉทที่ ๖)

หทยํ - หัวใจ ได้แก่ ก้อนเนื้อหทัย ตั้งอยู่ท่ามกลางถันทั้ง ๒ ข้างในภายในสรีระ เต็มไปด้วยโลหิตประมาณกึ่งฟายมือเป็นที่อาศัยแห่งจิต มีหลุมภายในมีประมาณเท่าที่ตั้งแห่งเมล็ดบุนนาค.
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา  อภิญเญยยนิทเทส


ทางการแพทย์ เมื่อผ่าหัวใจออกมาดูจะพบหัวใจห้องบนขวา มีลักษณะและมีเลือดอยู่กึ่งฝ่ามือ หัวใจจะทำงานโดยการบีบตัวและคลายตัวได้ เกิดจากมีการกระตุ้นทางไฟฟ้าผ่าน ทางสายนำไฟฟ้า ในหัวใจ ซึ่งมีจุดกำเนิดไฟฟ้า อยู่ที SA node ซึ่งอยู่บริเวณหัวใจห้องบนขวา และ SA node นี่เองที่มีลักษณะคล้ายเมล็ดบุนนาค

ร.ศ.น.พ.ทองคํา สุนทรเทพวรากุล แผนกต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาลราชวิถี ได้ให้ความเห็นส่วนตัวของในงานวิจัยเรื่อง ปสาทรูป ๕ ท่านสันนิษฐานว่า หัวใจห้องบนขวาในตำแหน่ง SA node น่าจะเป็นหทัยวัตถุที่ปรากฏในคัมภีร์


เรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระคึกฤทธิ์และสาวกไม่เคยแสดงที่ไหนมาก่อน อาจจะเป็นเพราะความรู้น้อยหรือมีเจตนาร้ายทำลายอรรถกถา มรดกสำคัญทางพุทธศาสนา พวกเขาเหล่านั้นที่รู้แก่ใจดี

วัดนาป่าพง ขาดความรู้เรื่องอรรถกถาจริงๆ



จากภาพสองภาพนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจวัดนาป่าพงชัดเจนทั้งเจ้าสำนักคือพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล และสาวกของพระคึกฤทธิ์ ถึงแนวคิดการตัดและทำลายอรรถกถา ไม่ต้องการให้มีอรรถกถา ไม่ต้องการให้คนพุทธศึกษาอรรถกถา  เพราะเขาเหล่านี้ พบการบรรยายในรสวรรณคดีที่พิลึกพิลั่น มหัศจรรย์พันลึกของอรรถกถา 

สิ่งเหล่านี้  เคยเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า เมื่อครั้งข้าพเจ้าศึกษาพระไตรปิฎกหลายปีมาแล้ว และอ่านพบเรื่องราวเหล่านี้ในอรรถกถา  เช่น สัตว์พูดกัน ข้าพเจ้าถูกสอนมาให้พิสูจน์ความจริงด้วยวิชานิติศาสตร์  ทำให้ข้าพเจ้าตั้งข้อสงสัยว่า คนไปฟังสัตว์พูดกันได้ด้วยหรือ และพบอีกหลายประการที่ปรากฏในอรรถกถาอย่างเรื่องสองเรื่องตามภาพนี้ที่สาวกวัดนาป่าพงนำมาแสดงข้าพเจ้าก็เคยจับผิดมาแล้ว

แต่นิสัยของข้าพเจ้าไม่ใช่คนปิดใจหรือตัดสินอะไรง่ายๆ  ข้าพเจ้าจึงศึกษาต่อไป จนพบกับสิ่งที่อรรถกถาบรรยายและวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว นั่นคือ ปุ่มรับรสของลิ้นที่อรรถกถาบรรยายว่ามีสัณฐานคล้ายดอกบัว  และอีกหลายๆ เรื่อง ที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว  (ข้าพเจ้าจะนำเสนอในบทความต่อๆ ไป ซึ่งจะนำภาพสมองมนุษย์และหัวใจและคำอธิบายของอรรถกถามาแสดง โดยเฉพาะหัวใจ อรรถกถาอธิบายลักษณะว่าเมล็ดบุนนาค SA node อยากชมติดตามต่อไป)



ชื่อว่าชิวหา ด้วยอรรถว่าลิ้มรส. ชิวหานั้นให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวาร ตามควรแก่ชิวหาวิญญาณเป็นต้น ตั้งอยู่ในประเทศมีสัณฐานดังปลายกลีบดอกอุบลที่ทะลุตรงกลางใบข้างบน เว้นปลายสุด โคนและข้างๆ แห่งสสัมภารชิวหา.

อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์  รูปกัณฑ์ รูปวิภัตติ เอกกนิเทศ


ทางการแพทย์เพิ่งเห็นเมื่อมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเห็นมาสองพันกว่าปีแล้ว และยังคงสืบทอดมาโดยพระไตรปิฏกและอรรถกถา วิวัฒนาการทางการแพทย์และการวิจัย ไม่ได้ทำเพื่อจับผิดพระพุทธเจ้าและพระอรรถกถา แต่ทำเพื่อบอกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แม้ไม่ทั้งหมด เช่นเรื่องฌานวิสัย กรรม แต่สิ่งที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ได้ทำการพิสูจน์เพื่อยืนยันพุทธพจน์ และทำความตั้งมั่นในพระพุทธองค์ของพุทธศาสนิกชนให้คงอยู่ และหยั่งลงมั่นยิ่งๆ ขึ้น

เมื่อข้าพเจ้าได้พบหลักฐานเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า  อรรถกถามีหลายชั้น หลายสมัย การปฏิเสธอรรถกถาชั้นหลัง จะกลายเป็นว่าทำให้เราปิดใจ ปฏิเสธอรรถกถาที่สืบทอดมาแต่โบราณ (โปราณอรรถกถา)  เสียทั้งหมด เลยไม่แยกแยะ ทำให้เราเสียโอกาสที่จะได้ศึกษาหาความรู้  ตำราที่เราศึกษาทั้งหมดนี้  แม้แต่พระไตรปิฎก  “ล้วนเป็นไปเพื่อความรู้  ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความจริง”  เราไม่สามารถหาความจริงจากสิ่งที่เราไม่ได้เห็นด้วยตา ไม่ได้รู้ด้วยผัสสะของตนเองได้เลย เราจึงได้แต่  “ศึกษาหาความรู้” เท่านั้น  รู้มากก็ทำให้เข้าใจอะไรได้มาก  ความยึดมั่นถือมั่นก็น้อยลง

จากแนวคิดที่สาวกวัดนาป่าพงล้วนได้รับการบอกสอนจากพระคึกฤทธิ์มา จึงทำหน้าที่จับผิดสำนวนอรรถกถา แล้วเหมาเอาว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความจริง เป็นไปไม่ได้

แสดงให้เห็นว่า สาวกวัดนาไม่รู้จักใช้ปัญญาในการเลือกฟังหรือหาสาระในอรรถกถา

พอเห็นอะไรที่มีความเป็นไปไม่ได้ จึงชี้เลยว่า ต้องทิ้งทั้งหมด  แสดงให้เห็นถึงการขาดการแยกแยะและยึดมั่นถือมั่น ไม่รู้จักเลือกในสิ่งที่เป็นสาระและไม่ใช่สาระ  สิ่งที่เป็นสาระควรน้อมนำมาใส่ใจ  สิ่งที่ไม่เป็นสาระควรแค่รู้ไว้  เจ้าสำนักและสาวกวัดนาป่าพง  ไม่สามารถแยกแยะพิจารณาแบบนี้ได้เลย

ปูนฉาบแตกลายงาเพียงนิดเดียว จำเป็นหรือต้องทุบบ้านทิ้งทั้งหลัง ?

ทำไมไม่หันกับไปถามพระคึกบ้างว่า เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะถ้าตอบไม่ได้ ปิดสำนักไปเลย