ไม่มีใครแม้สักคนที่จะปฏิเสธคำสอนของพระศาสดา
แต่สิ่งที่เราปฏิเสธวัดนาป่าพงคือคำสอนของวัดนาป่าพงที่สอนประชาชนห้ามฟังคำสาวก
วัดนาป่าพงโดยพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล เป็นบุคคลแรกที่เผยแพร่แนวคิด
“ห้ามฟังคำสาวก” โดยยกพระสูตรเพียงพระสูตรเดียว
ซึ่งเกิดจากการตีความพระบาลีผิดด้วยตนเองไม่ได้ศึกษาภาษาบาลี
ขาดองค์ความรู้ด้านภาษาบาลี สั่งสอนประชาชนว่า ให้ฟังแต่คำพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ห้ามฟังคำสาวกแม้แต่คำสาวกระดับพระอรหันต์ผู้เลิศทางปัญญาอย่างพระสารีบุตรก็ห้ามฟัง
เป็นเหตุให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฎก
ขาดความรู้ด้านภาษาบาลีหลงเชื่อและพากันเผยแพร่แนวคิดนี้ออกไปอย่างกว้างขวาง ความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าห้ามฟังคำสาวกเลยแม้พระสูตรเดียว
โดยเฉพาะสาวกผู้เป็นพระอรหันต์ซึ่งพระองค์ทรงรับรองความเป็นพระอรหันต์และแต่งตั้งให้เป็นผู้เลิศในด้านต่างๆ
ด้วยพระองค์
วัดนาป่าพงได้นำเอา
“อาณิสูตร” ความว่า “สุตตันตะเหล่าใดมีนักกวีแต่งขึ้นใหม่
เป็นคำร้อยกรองประเภทกาพย์กลอน มีอักษรสละสรวย มีพยัญชนะอันวิจิตรเป็นเรื่องนอกแนว
เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตรที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่เหล่านั้นมากล่าวอยู่,เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิตเพื่อจะรู้ทั่วถึง
และจักสำคัญว่าเป็นสิ่งที่ตนควรศึกษาเล่าเรียนไป. ภิกษุทั้งหลาย
! ความอันตรธานของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของตถาคตเป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ
ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตาจักมีได้ด้วยอาการอย่างนี้ แล.” โดยนำเอาคำว่า “สาวกภาษิต
(คำกล่าวของสาวก)” มาตีความว่า หมายถึง
“คำสาวกในพระพุทธศาสนาไม่เว้นแม้แต่คำพระอรหันตสาวกเช่นพระสารีบุตร” มีผู้รู้บาลีหลายท่านในประเทศไทย
ต่างแสดงความเห็นว่า การตีความเช่นนี้ เป็นการตีความที่ผิด
เพราะภาษาบาลีของพระสูตรนี้ มีกำกับไว้ชัดเจนแล้วด้วยศัพท์บาลีว่า “พาหิรกา”
ซึ่งแปลว่า “มีในภายนอก” เมื่อนำมาแปลรวมกับศัพท์ว่า “สาวกภาสิตา”
จึงต้องแปลว่า “คำสาวกที่มีมาในภายนอก” ซึ่งหมายถึง ภายนอกพระพุทธศาสนา ก็คือ
ลัทธิอื่น ศาสนาอื่น นั่นเอง
และมิใช่เพียงนัยทางภาษาบาลีเท่านั้น
ยังมีอีกหลายพระสูตรในพระไตรปิฎกที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ฟังคำสาวกของพระองค์ ในขณะที่พระคึกฤทธิ์ฯ สอนว่า
คำสาวกแม้แต่พระอรหันตสาวกผู้เลิศทางปัญญา (ซึ่งหมายถึงพระสารีบุตร) ก็ฟังไม่ได้
แต่พระพุทธเจ้าตรัสสอนสาวกทั้งหลายของพระองค์ให้เสพคบ
ให้ฟังคำพระสารีบุตรซึ่งพระสูตรนี้พระคึกฤทธิ์ไม่เคยนำมาสอนประชาชนเลย โดยพระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเสพ
จงคบสารีบุตรและโมคคัลลานะเถิด ทั้งสองรูปนี้เป็นบัณฑิตภิกษุ
ผู้อนุเคราะห์ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ สารีบุตรเปรียบเหมือนผู้ให้กำเนิด
โมคคัลลานะเปรียบเหมือนผู้บำรุงเลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำในโสดาปัตติผล
โมคคัลลานะ ย่อมแนะนำในผลชั้นสูง สารีบุตรพอที่จะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง
เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายซึ่งอริยสัจ ๔ ได้โดยพิสดาร” พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ ข้อ
๖๙๙
และมิใช่มีเพียงพระสูตรเดียวเท่านั้น
ยังมีอีกหลายพระสูตรนับเป็นสิบ นับเป็นร้อย
ที่พระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ฟังคำสาวกของพระองค์ได้
พระพุทธเจ้าทรงกำชับว่า
หากไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์ให้เข้าไปไต่ถามภิกษุสาวกของพระองค์ได้
เพราะสาวกของพระองค์นั้น สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยภิกษุพอจะเป็นที่พึ่งได้อย่างไร
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอเข้าไปหาภิกษุ ผู้เป็นพหูสูต
เรียนจบคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัยทรงมาติกา ตามเวลา แล้วไต่ถาม สอบสวนว่า
ท่านผู้เจริญ พระพุทธพจน์นี้อย่างไร ความแห่งพระพุทธพจน์นี้อย่างไร ท่านเหล่านั้น
ย่อมเปิดเผยธรรมที่ยังไม่เปิดเผย ย่อมทำธรรมที่ยังมิได้ทำให้ตื้นแล้วให้ตื้น
และย่อมบรรเทาความสงสัยในธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัยมิใช่น้อยแก่ภิกษุนั้น” พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย
เอก-ทุก-ติกนิบาต ข้อ ๔๕๙
พระพุทธเจ้าตรัสย้ำว่า
สาวกของพระองค์สามารถสอนให้ปุถุชนบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกับพระองค์ “ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว
มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมไปฟังธรรมของพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต การฟังนี้ยอดเยี่ยมกว่าการฟังทั้งหลาย
ย่อมเป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน” พระไตรปิฎก
เล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต ข้อ
๓๐๑
การศรัทธาหยั่งลงมั่นในพระตถาคตโดยส่วนเดียว
ตามที่วัดนาป่าพงเข้าใจว่าหมายถึงให้ฟังคำพระตถาคตเพียงผู้เดียว
ข้อนั้นจึงเป็นความเข้าใจที่ผิด
โดยพระคาถาว่า ตถาคเต เอกนฺตคโต
อภิปฺปสนฺโน (ตะ ถา คะ เต เอ กัน
ตะ คะ โต อะ ภิป ปะ สัน โน) เลื่อมใสอย่างยิ่ง ในส่วนเดียวต่อพระตถาคต มิได้มีความหมายว่า ให้เลื่อมใสพระตถาคตเพียงคนเดียว
แต่หมายถึงการไม่เลื่อมใสในศาสดาของลัทธิอื่น ศาสนาอื่น ซึ่งหากตีความอย่างที่วัดนาป่าพงตีความ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าตรัสให้เลื่อมใสพระองค์คนเดียวก็จะขัดแย้งกับคำสอนของพระองค์ซึ่งให้เลื่อมใสสาวกของพระองค์ด้วย “ดูกรภิกษุทั้งหลายส่วนผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น
มีความรักตั้งมั่น มีศรัทธาไม่หวั่นไหว มีความเลื่อมใสยิ่ง ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคตหรือสาวกของพระตถาคต
การได้นี้ยอดเยี่ยมกว่าการได้ทั้งหลาย
ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์แห่งสัตว์ทั้งหลาย ... เพื่อทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน” อ้างแล้วในวรรคก่อน
ต่อมาหลังจากที่พระคึกฤทธิ์ฯ
วัดนาป่าพง
ได้รับทราบว่ามีพระสูตรเหล่านี้ปรากฎอยู่ในพระไตรปิฎกจึงกล่าวแก้ว่า คำสาวกที่พระพุทธเจ้าให้ฟังได้ต้องได้รับการรับรองจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น
คำกล่าวแก้นี้ไม่เป็นความจริงเพราะในพระไตรปิฎกมีคำสอนของพระอรหันต์มากมายที่พระพุทธเจ้าไม่ได้รับรองหากแต่เป็นคำสอนที่คล้อยตามพระพุทธเจ้า
อยู่ในแนวทางคำสอนของพระพุทธศาสนาก็สามารถรับฟังได้ พระพุทธเจ้าคงไม่สามารถตามไปรับรองคำสอนของพระสาวกได้ทุกรูป
นอกจากมีผู้นำคำสอนของพระสาวกมาทูลถามพระพุทธเจ้าให้พระองค์รับรอง
พระองค์จึงทรงรับรอง
การรับรองคำสาวกจึงไม่ใช่หลักการทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าต้องรับรองทุกราย แต่ทรงประทานหลักมหาปเทสสี่และหลักตัดสินธรรมวินัยไว้ให้ผู้ฟังได้ใช้ในการพิจารณาด้วยตนเอง
การที่พระคึกฤทธิ์ฯ ดำริแนวการสอนของตนว่า ห้ามฟังคำสาวกทั้งสิ้น
เว้นแต่คำสาวกนั้นต้องเป็นคำสาวกที่พระพุทธเจ้ารับรอง
จึงเป็นการตัดตอนหลักมหาปเทสสี่และหลักตัดสินธรรมวินัยแปดไม่ให้มีที่ใช้เสียทีเดียว
ด้วยความคิดว่า
“ไม่ต้องไปฟังทั้งสิ้นเลย” ถ้าหากเป็นเช่นนั้น คำสาวกนอกพุทธกาลอย่างหลวงปู่ หลวงตา รวมถึงคำสอนของพระคึกฤทธิ์ที่อธิบายว่า
“นิพพานคือช่องว่างในที่คับแคบ”
ก็ไม่ควรจะฟังเลย
และไม่ควรจะต้องใช้หลักมหาปเทสสี่และหลักตัดสินพระธรรมวินัยเลยเช่นนั้นหรือ
การที่พระพุทธศาสนายั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน
ผ่านกาลเวลามาเป็นเวลาสองพันกว่าปีนั้น
เป็นไปด้วยพระดำรัสของพระศาสดาที่สั่งสาวกว่า ให้นำคำสอนของพระองค์ไปประกาศ
และทรงมีพุทธานุญาตให้อธิบายคำสอนได้ด้วยในกรณีที่ผู้ฟังไม่เข้าใจ ดังพระดำรัสที่ผู้เขียนได้ยกมาในเบื้องต้นแล้ว “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าไปทางเดียวกันสองรูป พวกเธอจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง
งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์
พร้อมทั้งอรรถ
พร้อมทั้งพยัญชนะ
บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง
แม้เราก็จักไปยังอุรุเวลเสนานิคมเพื่อแสดงธรรม” พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ข้อ ๔๒๘
กล่าวโดยสรุป พระพุทธเจ้าทรงจำแนกเรื่องคำสาวกในอนาคตกาล
ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังศาสดาของแต่ละลัทธิ แต่ละศาสนาสิ้นไป นี้ไว้เป็น ๓ ประเภท
ดังนี้
๑.
คำสาวกนอกพระพุทธศาสนา ไม่เงี่ยโสตลงฟังเลย
๒.
คำพระอรหันตสาวกที่พระองค์ทรงรับรองความเป็นพระอรหันต์แล้ว
ปรากฏอยู่ในพระ
ไตรปิฎก ให้ฟังได้
ให้ปฏิบัติตาม
๓.
คำสาวกในพระพุทธศาสนาหลังพุทธปรินิพพาน ให้ใช้หลักมหาปเทสสี่และหลักตัดสินพ
ธรรมวินัย
ตัดสินเอาด้วยปัญญาของผู้ฟังเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น