จากภาพสองภาพนี้
ทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจวัดนาป่าพงชัดเจนทั้งเจ้าสำนักคือพระคึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
และสาวกของพระคึกฤทธิ์ ถึงแนวคิดการตัดและทำลายอรรถกถา ไม่ต้องการให้มีอรรถกถา
ไม่ต้องการให้คนพุทธศึกษาอรรถกถา
เพราะเขาเหล่านี้ พบการบรรยายในรสวรรณคดีที่พิลึกพิลั่น มหัศจรรย์พันลึกของอรรถกถา
สิ่งเหล่านี้ เคยเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า
เมื่อครั้งข้าพเจ้าศึกษาพระไตรปิฎกหลายปีมาแล้ว
และอ่านพบเรื่องราวเหล่านี้ในอรรถกถา เช่น
สัตว์พูดกัน ข้าพเจ้าถูกสอนมาให้พิสูจน์ความจริงด้วยวิชานิติศาสตร์ ทำให้ข้าพเจ้าตั้งข้อสงสัยว่า
คนไปฟังสัตว์พูดกันได้ด้วยหรือ และพบอีกหลายประการที่ปรากฏในอรรถกถาอย่างเรื่องสองเรื่องตามภาพนี้ที่สาวกวัดนาป่าพงนำมาแสดงข้าพเจ้าก็เคยจับผิดมาแล้ว
แต่นิสัยของข้าพเจ้าไม่ใช่คนปิดใจหรือตัดสินอะไรง่ายๆ ข้าพเจ้าจึงศึกษาต่อไป
จนพบกับสิ่งที่อรรถกถาบรรยายและวิทยาศาสตร์พิสูจน์มาแล้ว นั่นคือ
ปุ่มรับรสของลิ้นที่อรรถกถาบรรยายว่ามีสัณฐานคล้ายดอกบัว และอีกหลายๆ เรื่อง ที่วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้ว (ข้าพเจ้าจะนำเสนอในบทความต่อๆ ไป ซึ่งจะนำภาพสมองมนุษย์และหัวใจและคำอธิบายของอรรถกถามาแสดง โดยเฉพาะหัวใจ อรรถกถาอธิบายลักษณะว่าเมล็ดบุนนาค SA node อยากชมติดตามต่อไป)
ชื่อว่าชิวหา ด้วยอรรถว่าลิ้มรส. ชิวหานั้นให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวาร
ตามควรแก่ชิวหาวิญญาณเป็นต้น
ตั้งอยู่ในประเทศมีสัณฐานดังปลายกลีบดอกอุบลที่ทะลุตรงกลางใบข้างบน เว้นปลายสุด
โคนและข้างๆ แห่งสสัมภารชิวหา.
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ รูปวิภัตติ เอกกนิเทศ
ทางการแพทย์เพิ่งเห็นเมื่อมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเห็นมาสองพันกว่าปีแล้ว และยังคงสืบทอดมาโดยพระไตรปิฏกและอรรถกถา วิวัฒนาการทางการแพทย์และการวิจัย ไม่ได้ทำเพื่อจับผิดพระพุทธเจ้าและพระอรรถกถา แต่ทำเพื่อบอกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แม้ไม่ทั้งหมด เช่นเรื่องฌานวิสัย กรรม แต่สิ่งที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ได้ทำการพิสูจน์เพื่อยืนยันพุทธพจน์ และทำความตั้งมั่นในพระพุทธองค์ของพุทธศาสนิกชนให้คงอยู่ และหยั่งลงมั่นยิ่งๆ ขึ้น
อรรถกถา ธรรมสังคณีปกรณ์ รูปกัณฑ์ รูปวิภัตติ เอกกนิเทศ
ทางการแพทย์เพิ่งเห็นเมื่อมีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ แต่สิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าเห็นมาสองพันกว่าปีแล้ว และยังคงสืบทอดมาโดยพระไตรปิฏกและอรรถกถา วิวัฒนาการทางการแพทย์และการวิจัย ไม่ได้ทำเพื่อจับผิดพระพุทธเจ้าและพระอรรถกถา แต่ทำเพื่อบอกว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ แม้ไม่ทั้งหมด เช่นเรื่องฌานวิสัย กรรม แต่สิ่งที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ ได้ทำการพิสูจน์เพื่อยืนยันพุทธพจน์ และทำความตั้งมั่นในพระพุทธองค์ของพุทธศาสนิกชนให้คงอยู่ และหยั่งลงมั่นยิ่งๆ ขึ้น
เมื่อข้าพเจ้าได้พบหลักฐานเช่นนี้
ทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า อรรถกถามีหลายชั้น
หลายสมัย การปฏิเสธอรรถกถาชั้นหลัง จะกลายเป็นว่าทำให้เราปิดใจ
ปฏิเสธอรรถกถาที่สืบทอดมาแต่โบราณ (โปราณอรรถกถา)
เสียทั้งหมด เลยไม่แยกแยะ ทำให้เราเสียโอกาสที่จะได้ศึกษาหาความรู้ ตำราที่เราศึกษาทั้งหมดนี้ แม้แต่พระไตรปิฎก “ล้วนเป็นไปเพื่อความรู้ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อความจริง”
เราไม่สามารถหาความจริงจากสิ่งที่เราไม่ได้เห็นด้วยตา
ไม่ได้รู้ด้วยผัสสะของตนเองได้เลย เราจึงได้แต่ “ศึกษาหาความรู้” เท่านั้น รู้มากก็ทำให้เข้าใจอะไรได้มาก ความยึดมั่นถือมั่นก็น้อยลง
จากแนวคิดที่สาวกวัดนาป่าพงล้วนได้รับการบอกสอนจากพระคึกฤทธิ์มา
จึงทำหน้าที่จับผิดสำนวนอรรถกถา แล้วเหมาเอาว่า เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ความจริง
เป็นไปไม่ได้
แสดงให้เห็นว่า
สาวกวัดนาไม่รู้จักใช้ปัญญาในการเลือกฟังหรือหาสาระในอรรถกถา
พอเห็นอะไรที่มีความเป็นไปไม่ได้ จึงชี้เลยว่า ต้องทิ้งทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงการขาดการแยกแยะและยึดมั่นถือมั่น
ไม่รู้จักเลือกในสิ่งที่เป็นสาระและไม่ใช่สาระ
สิ่งที่เป็นสาระควรน้อมนำมาใส่ใจ
สิ่งที่ไม่เป็นสาระควรแค่รู้ไว้
เจ้าสำนักและสาวกวัดนาป่าพง
ไม่สามารถแยกแยะพิจารณาแบบนี้ได้เลย
ปูนฉาบแตกลายงาเพียงนิดเดียว จำเป็นหรือต้องทุบบ้านทิ้งทั้งหลัง ?
ทำไมไม่หันกับไปถามพระคึกบ้างว่า
เสาอโศกต้นไหนบันทึกพุทธวจนะถ้าตอบไม่ได้ ปิดสำนักไปเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น