วันพฤหัสบดีที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

พระคึกฤทธิ์ติเตียนพระอรหันต์ในขณะที่พระศาสดาสรรเสริญพระอรหันต์


ภาพที่ทุกท่านเห็นนี้คือภาพที่พระมหาไพโรจน์  โรจนธัมโม  (วงศ์ศาไชย)  ภิกษุสาวกวัดนาป่าพง  นำมาแสดงใน FB ของข้าพเจ้า   เพื่อยืนยันว่า  พระอรหันต์คิดผิด พูดผิด ทำผิด ตามคำบอกเล่าของพระคึกฤทธิ์  โสตฺถิผโล  ซึ่งมักจะกล่าวเช่นนี้ให้สาธุชนฟังอยู่เสมอเพื่อสนับสนุนความคิดเห็นของตนว่า    “พระศาสดาห้ามฟังคำสาวก”        โดยการยกพระสารีบุตรและพระอรหันต์รูปอื่นๆ ขึ้นแสดง       โดยที่พระคึกฤทธิ์ฯ  ตีความเอาเองทั้งหมด เพราะไม่อ่านให้จบพระสูตร  หรืออ่านแล้วแต่มีเจตนาบิดเบือนพระสูตรข้าพเจ้าก็มิอาจทราบความในใจของท่านได้   (สำหรับหลักฐานในแต่ละเรื่อง ข้าพเจ้าจะนำเสนอในบทความต่อๆ ไป)

ในความเป็นจริงแล้ว   พระศาสดาไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะติเตียนพระสารีบุตรหรือพระอรหันต์  ในรอบสองพันกว่าปีมานี้  เห็นทีจะมีแต่พระคึกฤทธิ์และสาวกของพระคึกฤทธิ์เท่านั้นที่เพ่งโทษติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันต์ทั้งหลาย 

พระพุทธองค์ทรงตรัสสรรเสริญพระสารีบุตรหลายพระสูตร  และในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๗  สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปวารณาสูตรที่ ๗ พระศาสดาก็ได้ทรงย้ำว่า  ไม่ทรงติเตียนพระสารีบุตรและพระอรหันตสาวกในกรรมซึ่งกระทำทางกายหรือวาจาของพระสารีบุตรและพระอรหันต์เหล่านั้นไม่ได้เลย

“สารีบุตร เราติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของเธอไม่ได้เลย

สารีบุตร เธอเป็นบัณฑิต

สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญามาก เป็นผู้มีปัญญาแน่นหนา

สารีบุตร เธอเป็นผู้มีปัญญาชวนให้ร่าเริง เป็นผู้มีปัญญาว่องไว เป็นผู้มีปัญญาหลักแหลม เป็นผู้มีปัญญาสยายกิเลสได้

สารีบุตร โอรสพระองค์ใหญ่ของพระเจ้าจักรพรรดิ ย่อมยังจักรอันพระราชบิดาให้เป็นไปแล้ว ให้เป็นไปตามได้โดยชอบ ฉันใด

สารีบุตร เธอก็ฉันนั้นเหมือนกันย่อมยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยม อันเราให้เป็นไปแล้วให้เป็นไปตามได้โดยชอบแท้จริง ฯ

ท่านพระสารีบุตรจึงกราบทูลอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากว่าพระผู้มีพระภาค ไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกาย หรือทางวาจาของข้าพระองค์ไซร้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจาของภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้บ้างหรือ ฯ

สารีบุตร เราไม่ติเตียนกรรมไรๆ อันเป็นไปทางกายหรือทางวาจา ของภิกษุ ๕๐๐ รูปแม้เหล่านี้ สารีบุตร เพราะบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุ ๖๐ รูป เป็นผู้ได้วิชชา ๓ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อภิญญา ๖ อีก ๖๐ รูป เป็นผู้ได้อุภโตภาควิมุติ ส่วนที่ยังเหลือเป็นผู้ได้ปัญญาวิมุติ ฯ”

ดังนั้น  การติเตียนพระอรหันตสาวกของพระศาสดาจึงนับได้ว่าเป็นกรรมหนักของชาววัดนาป่าพงทุกรูป  ทุกคน  ทีเดียว  กรรมนี้เรียกว่า  “อริยุปวาทกรรม”  มีโทษเท่าอนันตริยกรรม  ห้ามสวรรค์  ห้ามนิพพานในภัทรกัปนี้กันทีเดียว  ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร  เพราะบาปกรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้กระทำจะเชื่อหรือไม่เชื่อ  กรรมนั้นให้ผลเฉพาะด้วยกฎแห่งกรรมนั้นเอง หาได้อาศัยความเชื่อของบุคคลใดไม่ 


ไม่มีความคิดเห็น: