หลักฐานว่าคึกฤทธิ์และวัดนาป่าพง
ตัดคำพระพุทธพจน์ของพระศาสดาออก แล้วใส่ความเห็นของตนลงไป ในเรื่องเดรัจฉานวิชา
สรุปอีกครั้ง อย่างง่าย
หลักฐานชั้นพุทธวจนะ
หลักฐานชั้นพุทธวจนะ
การกระทำใดๆ
ที่ไม่เป็นไปเพื่อเลี้ยงชีพผิดของภิกษุ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา แต่เป็น
"วิชา" เช่น วิชาทำนาย วิชาดูยาม วิชาปรุงยา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า
"เลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา / ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน"
ไม่ได้ตรัสว่า "ทำเดรัจฉานวิชา"
มิจฺฉาชีเวน แปลว่า เลี้ยงชีพผิด, เลี้ยงชีพโดยผิดทาง, เลี้ยงชีพโดยทางผิด ไม่ได้แปลว่า "ทำผิด"
เลี้ยงชีพผิดกับทำผิดนั้นต่างกัน เพราะการทำโดยไม่เลี้ยงชีพก็มี หากจะตรัสถึงการทำ ก็จะทรงตรัสว่า "ทำ" ไม่ตรัสว่าเลี้ยงชีพ เช่น "ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"
มิจฺฉาชีเวน แปลว่า เลี้ยงชีพผิด, เลี้ยงชีพโดยผิดทาง, เลี้ยงชีพโดยทางผิด ไม่ได้แปลว่า "ทำผิด"
เลี้ยงชีพผิดกับทำผิดนั้นต่างกัน เพราะการทำโดยไม่เลี้ยงชีพก็มี หากจะตรัสถึงการทำ ก็จะทรงตรัสว่า "ทำ" ไม่ตรัสว่าเลี้ยงชีพ เช่น "ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"
องค์ประกอบของเดรัจฉานวิชา คือ
๑. ภิกษุ
๒. เลี้ยงชีพผิด
๓. ด้วยเดรัจฉานวิชา มี ฯลฯ
ถ้าฆราวาสเลี้ยงชีพด้วยวิชาปรุงยาอย่างหมอชีวก
สหายแพทย์ ศิษย์ของหมอชีวก ไม่เรียกว่า "เดรัจฉานวิชา"
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเป็นภิกษุ ผลคือไม่ขวางทางนิพพาน เพราะท่านสามารถบรรลุโสดาบัน
เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพานได้
กรณีฆราวาสเลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง
เช่น หลอกลวงดูดวง หลอกลวงต่างๆ ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะเดรัจฉานวิชาจะมีได้เฉพาะในภิกษุเท่านั้น
เนื่องจากภิกษุเป็นผู้เลี้ยงชีพด้วยการขอที่ชาวบ้านให้ด้วยศรัทธา หากใช้วิชาใดๆ
ก็ตามเพื่อหาเลี้ยงชีพ จึงนับว่าเป็นการเลี้ยงชีพผิด
ส่วนชาวบ้านที่เลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เรียกว่า “มิจฉาอาชีวะ”
“ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกงการล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด
การเอาลาภต่อลาภนี้มิจฉาอาชีวะ ฯ”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3846&Z=3923&pagebreak=0
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3846&Z=3923&pagebreak=0
ภิกษุ ถ้าใช้วิชา ฯลฯ
โดยไม่เลี้ยงชีพด้วยวิชาเหล่านั้น ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา
เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเลี้ยงชีพผิด เช่น
ภิกษุที่นำบาตรไม้ไปบดปรุงยาตามคำสั่งพระพุทธเจ้า และภิกษุผู้ปรุงยารักษากันตามพุทธานุญาต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง
ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด."
[๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล
ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่กรองแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตวัตถุเครื่องกรองยาผง."
ภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่ละเอียด
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตผ้ากรองยา."
ดังนั้น การที่วัดนาป่าพงถามว่า
"ถ้าภิกษุ ไม่เลี้ยงชีพผิด ก็สามารถทำเดรัจฉานวิชาได้หรือ"
คำถามนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ
ถ้าไม่เลี้ยงชีพผิด จะไม่เป็นเดรัจฉานวิชาเลย
ไม่มีประเด็นว่าทำได้หรือไม่ได้แต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น