วันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พระสูตรหิ่งห้อยที่พระคึกฤทธิ์บิดเบือน

คึกฤทธิ์ชอบนำคำว่า "หิ่งห้อย" มาเปรียบเทียบกับพระอริยสาวกสงฆ์ในพุทธกาล เช่น พระสารีบุตร ฯลฯ โดยเปรียบเทียบว่า สาวกนั้นเปรียบเสมือนแสงหิ่งห้อย พระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนแสงอาทิตย์

นี่คือข้อบิดเบือนสำคัญที่คึกฤทธิ์นำมาบิดเบือนเพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของพระอริยสาวก เช่น พระสารีบุตร ฯลฯ

ความจริง ตามพระพุทธวจนะของจริง !!!!

พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเหล่าอัญเดียรถีย์เสมือนแสงหิ่งห้อย ไม่พบว่าพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเหล่าสาวกของพระองค์เสมือนแสงหิ่งห้อยเลย แต่คึกฤทธิ์กลับนำคำนี้มาใช้ในการเหยียดหยามอริยสาวกสงฆ์และพระภิกษุ รวมไปถึงอุบาสก อุบาสิกา ที่ไม่เลื่อมไสศรัทธาตน ไม่นำลาภสักการะเข้าสู่ตนว่าเป็น แสงหิ่งห้อย ทำให้เหล่าสาวกของพระคึกฤทธิ์นำพระพุทธวจนะบทนี้ไปเหยียบย่ำชาวพุทธด้วยกันเองอย่างน่ารังเกียจที่สุด

อ่านพระพุทธวจนะของจริงกันชัดๆ นะคะว่าพระองค์ตรัสเรื่องแสงหิ่งห้อยนั้น หมายถึงใคร

"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก เพียงใด พวกอัญญเดียรถีย์ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร เพียงนั้น แต่เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ย่อมเป็นผู้อันมหาชนไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ ย่อมเป็นผู้อันมหาชนสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยำเกรง และได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น ดูกรอานนท์ จริงอย่างนั้น

ดูกรอานนท์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลกเพียงใด ... แต่เมื่อใดพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ... ฯ

ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

"หิ่งห้อยนั้น ส่งแสงสว่างอยู่ชั่วเวลาพระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไปแล้ว หิ่งห้อยนั้นก็อับแสง และไม่สว่างได้เลย พวกเดียรถีย์สว่างเหมือนหิ่งห้อยนั้น ตราบเท่าที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้นในโลก แต่เมื่อใดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เมื่อนั้น พวกเดียรถีย์และแม้สาวกของพวกเดียรถีย์เหล่านั้นย่อมไม่หมดจดพวกเดียรถีย์ผู้มีทิฐิชั่วย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗

ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ข้อบ่งชี้ว่าคิกฤทธิ์ ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท

ข้อบ่งชี้ว่าคึกฤทธิ์มั่วปฏิจจสมุปบาท คือคำแต่งใหม่ของคึกฤทธิ์ว่า "สัตตานังไปเกาะขันธ์ห้า"
คึกฤทธิ์สอนคนผิดในเรื่องสำคัญคือเรื่องปฏิจจสมุปบาท

ถ้าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทผิด ท่านจะหลงไปในมิจฉาทิฏฐิ คือ หลงไปว่าสัตว์ล่องลอยไปเกาะโน่นเกาะนี่บ้าง สัตว์ตายแล้วสูญบ้าง

ไม่มีสัตตานังไปเกาะอะไรทั้งนั้น มีแต่เหตุปัจจัยที่ทำให้สัตว์ไปเกิด ดังพระพุทธวจนะว่า

"วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี"

พระพุทธเจ้าสั่งนักสั่งหนาว่า เวลาจะอธิบายปฏิจจสมุปบาท ให้อธิบายปัจจัยการด้วย  เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา  เป็นศาสนาแห่งเหตุผล คือ เหตุ ปัจจัย  ดังที่ตรัสสั่งกับพระอานนท์

ดูกรอานนท์เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิดเป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมาเหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอุบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร

ดูกรอานนท์ เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่าชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่าชาติมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี 
ถ้าเขาถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัยเธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ภพมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทานมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า ตัณหามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนาเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่า นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย

เมื่อเธอถูกถามว่า วิญญาณมีสิ่งเป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี
ถ้าเขาถามว่าวิญญาณมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย

ดูกรอานนท์เพราะนามรูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ / พุทธพจน์
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค


การเข้าใจปฏิจจสมุปบาทผิด ส่งผลให้ไปในทางผิด ชอบอย่างไหนก็ไปอย่างนั้น ดังคำโบราณว่า "ไปที่ชอบ ที่ชอบ"


ถ้าหากคนที่ยังท่องปฏิจจสมุปบาทผิดๆ ถูกๆ แบบศิษย์วัดนาป่าพงจะเป็นโสดาบันได้ คนที่เข้าใจในปฏิจจสมุปบาทและปัจจัยการทั้งโลก จะไม่อรหันต์กันหมดหรือ  

ชมคลิปศิษย์วัดนาป่าพง ท่องปฏิจจสมุปบาทยังผิด


วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หลักฐานชัดๆ พระคึกฤทธิ์การตัดคำพระพุทธพจน์และนำคำของตนเองใส่แทน กรณีเดรัจฉานวิชา


หลักฐานว่าคึกฤทธิ์และวัดนาป่าพง ตัดคำพระพุทธพจน์ของพระศาสดาออก แล้วใส่ความเห็นของตนลงไป ในเรื่องเดรัจฉานวิชา

สรุปอีกครั้ง อย่างง่าย

หลักฐานชั้นพุทธวจนะ 

เดรัจฉานวิชา คือ การเลี้ยงชีพผิดด้วย ทำนาย ปลุกเสก ปรุงยา ฯลฯ

การกระทำใดๆ ที่ไม่เป็นไปเพื่อเลี้ยงชีพผิดของภิกษุ ไม่ใช่เดรัจฉานวิชา แต่เป็น "วิชา" เช่น วิชาทำนาย วิชาดูยาม วิชาปรุงยา

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "เลี้ยงชีพผิด ด้วยเดรัจฉานวิชา / ติรจฺฉานวิชฺชาย มิจฺฉาชีเวน" ไม่ได้ตรัสว่า "ทำเดรัจฉานวิชา"
 มิจฺฉาชีเวน แปลว่า เลี้ยงชีพผิด, เลี้ยงชีพโดยผิดทาง, เลี้ยงชีพโดยทางผิด ไม่ได้แปลว่า "ทำผิด" 
เลี้ยงชีพผิดกับทำผิดนั้นต่างกัน เพราะการทำโดยไม่เลี้ยงชีพก็มี หากจะตรัสถึงการทำ ก็จะทรงตรัสว่า "ทำ" ไม่ตรัสว่าเลี้ยงชีพ เช่น "ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว"

องค์ประกอบของเดรัจฉานวิชา คือ
๑. ภิกษุ
๒. เลี้ยงชีพผิด
๓. ด้วยเดรัจฉานวิชา มี ฯลฯ

ถ้าฆราวาสเลี้ยงชีพด้วยวิชาปรุงยาอย่างหมอชีวก สหายแพทย์ ศิษย์ของหมอชีวก ไม่เรียกว่า "เดรัจฉานวิชา" เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเป็นภิกษุ ผลคือไม่ขวางทางนิพพาน เพราะท่านสามารถบรรลุโสดาบัน เป็นผู้เที่ยงต่อพระนิพพานได้

กรณีฆราวาสเลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เช่น  หลอกลวงดูดวง  หลอกลวงต่างๆ ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา เพราะเดรัจฉานวิชาจะมีได้เฉพาะในภิกษุเท่านั้น เนื่องจากภิกษุเป็นผู้เลี้ยงชีพด้วยการขอที่ชาวบ้านให้ด้วยศรัทธา หากใช้วิชาใดๆ ก็ตามเพื่อหาเลี้ยงชีพ จึงนับว่าเป็นการเลี้ยงชีพผิด ส่วนชาวบ้านที่เลี้ยงชีพผิดด้วยการหลอกลวง เรียกว่า “มิจฉาอาชีวะ”

“ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ การโกงการล่อลวง การตลบตะแลง การยอมมอบตนในทางผิด การเอาลาภต่อลาภนี้มิจฉาอาชีวะ ฯ”
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=3846&Z=3923&pagebreak=0

ภิกษุ ถ้าใช้วิชา ฯลฯ โดยไม่เลี้ยงชีพด้วยวิชาเหล่านั้น ไม่เรียกว่าเดรัจฉานวิชา เพราะขาดองค์ประกอบในข้อเลี้ยงชีพผิด เช่น ภิกษุที่นำบาตรไม้ไปบดปรุงยาตามคำสั่งพระพุทธเจ้า และภิกษุผู้ปรุงยารักษากันตามพุทธานุญาต

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ


สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด."

[๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่กรองแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ๆ ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัตถุเครื่องกรองยาผง."

ภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่ละเอียด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
"ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองยา."


ดังนั้น การที่วัดนาป่าพงถามว่า "ถ้าภิกษุ ไม่เลี้ยงชีพผิด ก็สามารถทำเดรัจฉานวิชาได้หรือ"


คำถามนี้ไม่ถูกต้อง เพราะ ถ้าไม่เลี้ยงชีพผิด จะไม่เป็นเดรัจฉานวิชาเลย ไม่มีประเด็นว่าทำได้หรือไม่ได้แต่อย่างใด

ตอบคำต่อคำ กรณีพระคึกฤทธิ์พูดถึงการเรียนบาลี

คำต่อคำ คึกฤทธิ์ ต่อกรณีการเรียนบาลี
พระคึกฤทธิ์: ไม่มีอะไรโยม เก่งบาลี เค้ามีอะไรเป็นเกนฑ์ เกณฑ์ที่เขามีก็เป็นเกณฑ์ที่ตั้งขึ้น เปรียญ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ มันตั้งขึ้นมาหมดน่ะ มีมั้ยล่ะ สารีบุตรได้ เปรียญ ๙ รึยัง (สังเกตว่า มีหลายครั้ง ที่เอ่ยนามพระสารีบุตรโดยเรียกชื่อเฉยๆ - ผู้โพส) ก็ไม่น่ะโยม ใช่มะ ทำไมไม่พูดหลักการพระศาสดา การเชื่อมธรรมะพระศาสดา ในเมื่อเค้าศึกษาอรรถกถา หลักการนี้เค้าใช้ไม่ได้ เค้าจะไม่มีใช้หลักการนี้ เพราะหลักการนี้ใช้ได้กับคำของสัมมาสัมพุทธะผู้เดียวเท่านั้นในโลก เมื่อหลักการนี้ใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ได้ เพราะเนื้อหาที่เขาศึกษามันไม่ใช่เนื้อหาของสัมมาสัมพุทธะ มันไม่สามารถเอามาเชื่อม มาเทียบเคียง เอ๊ ทิฏฐิ ๖๒ อาจารย์นั้นพูดยังไง หลวงปู่นั้นพูดยังไง ไม่สามารถหาได้ นะ สาวกแต่ละคนพูดไม่ครบ และการปรุงแต่ขึ้นมาเอง ม้น ไม่ได้ ระดับพระพุทธเจ้า ต้องกำหนดสมาธิทุกครั้ง ในการพูด แล้วสาวกทำได้มั้ย สิบพระสูตรไม่แน่น เมื่อสิบพระสูตรไม่แน่นเนี่ย มันก็เซ เซไปหาคำสาวกไง ถ้าสิบพระสูตรแน่ชัด คำสาวกมันจะหมดราคาไปทันที นั่นคือ เค้าต้องย้อนไปหาคำสิบพระสูตรใหม่ ว่าเค้าเนี่ย ไม่เชื่อความสามารถพระพุทธเจ้า ว่าเค้าเนี่ย ไม่แน่น ไม่มั่นคง ใช่ม้า เรื่องมันง่ายๆ สาวกคนใดล่ะ กำหนดสมาธิได้ พุดสอดรับไม่ขัดแย้งกัน พูดเป็นอกาลิโก ก็ไม่มีอยู่แล้ว ใช่มะ อย่างเนี่ย

ตอบคึกฤทธิ์ทุกประเด็น ดังนี้
- เมื่อผู้ถาม ถามว่า คนเก่งบาลีเป็นอย่างไร ก็ควรตอบด้วยหลักการด้านภาษาศาสตร์ว่า คนเก่งด้านภาษาไม่ว่าจะภาษาอะไร จะต้องเป็นผู้ ฟังเข้าใจ พูดได้ อ่านออก เขียนได้ แปลเป็น
แต่ที่คึกฤทธิ์ไม่ตอบแบบนั้น เป็นเพราะตนเองฟังไม่เข้าใจ พูดไม่ได้ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แปลไม่เป็น

- พระสารีบุตร (คึกฤทธิ์เรียกว่าสารีบุตร) ไม่ต้องเรียนเปรียญ 1-9 เพราะท่านเป็นเจ้าของภาษา เกิดในขณะที่ใช้ภาษามคธ (บาลี) เป็นภาษาแม่อยู่แล้ว

- หลักเกณฑ์การวัดความเก่งด้านภาษา เป็นหลักเกณฑ์สากลทั่วโลกที่ใช้กันอยู่ และเป็นสัจจะคือเป็นความจริง ไม่จำเพาะแต่ภาษาบาลี

- การเชื่อมพระสูตรด้วยวิธีการของคึกฤทธิ์ จะถูกหรือผิด พระพุทธเจ้าไม่ได้รับรอง ไม่มีพุทธวจนะรับรองการเชื่อมพระสูตรของคึกฤทธิ์ การเชื่อมพระสูตรของคึกฤทธิ์จึงเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล จะไปบอกว่าตนเชื่อมถูกไม่ได้

- สิบพระสูตร ที่เกิดจากการแต่งเองขึ้นใหม่ของคึกฤทธิ์ ไม่สอดรับกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ผิดทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะและความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ไม่มีพุทธวจนะรับรองความถูกต้องของแนวคิดสิบพระสูตรของคึกฤทธิ์

- การแปลพระไตรปิฎก หรือพจนานุกรมภาษาบาลีที่คึกฤทธิ์นำมาอ้างใช้ ล้วนเกิดจากการแปลตามอรรถกถา

- พุทธวจนะที่คึกฤทธิ์ยึดถือ ล้วนผ่านการทรงจำของพระสาวกรุ่นต่อรุ่นมาแล้วสองพันกว่าปี จึงทำให้พระพุทธศาสนายืนยงอยู่ได้ในหลายประเทศทั่วโลก

- ความเข้าใจว่าผู้ที่ศึกษาทั้งพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา เป็นผู้ที่ไม่เชื่อความสามารถของพระพุทธเจ้า เกิดจากความคิดผิด เข้าใจผิดของคึกฤทธิ์เอง เพราะทุกคนล้วนแต่อ้างคำพระพุทธเจ้าและสามารถนำคำพระพุทธเจ้ามาชี้ความบิดเบือนของคึกฤทธิ์ได้อย่างชัดเจน จนคึกฤทธิ์เถียงไม่ออก และไม่กล้ามาดีเบทกับใคร


- คนที่ไม่มั่นคงในพระพุทธเจ้าคือคึกฤทธิ์ ดังนั้น คึกฤทธิ์จึงมักอธิบายความหมายของพระพุทธวจนะให้ผิดไปจากพุทธประสงค์เสมอ

https://www.youtube.com/watch?v=uP-SGKnV-Dk

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

สิกขาบทที่ต้องสวดปาฏิโมกข์ กับการบิดเบือนของวัดนาป่าพง



ความแตกต่างระหว่างสิกขาบทที่ยกต้องสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน กับพระบัญญัติที่ต้องรักษาแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน

สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ต้องยกสู่อุเทสทุกกึ่งเดือน (สวดปาฏิโมกข์) จะมีพระบาลีว่า "เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ" แปลเป็นภาษาไทยว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้"

ส่วนพระบัญญัติที่ต้องรักษาและปฏิบัติตามแต่ไม่ต้องยกขึ้นสู่อุเทศ (สวดปาฏิโมกข์) ทุกกึ่งเดือน จะไม่มีพระบาลีดังกล่าว

ตัวอย่างเช่น
เสขิยวัตร การนุ่งห่มเป็นปริมณฑล ต้องยกขึ้นสู่ปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน ด้วยมีพระบาลีชัดเจนว่า
"เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ ปริมณฺฑลํ นิวาเสสฺสามีติ สิกฺขา กรณียา ฯ "

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้
ภิกษุพึงทำความศึกษาว่า เราจักนุ่งเป็นปริมณฑล."

ซึ่งแตกต่างจากพระบัญญัติทั่วไปที่ไม่ต้องยกขึ้นสู่ปาฏิโมกข์ เช่น เรื่องการห้ามอุปสมบทกุลบุตรที่ไม่มีจีวร

"น ภิกฺขเว อจีวรโก อุปสมฺปาเทตพฺโพ โย อุปสมฺปาเทยฺย อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺสาติ ฯ"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีจีวร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ต้องอาบัติทุกกฏ."

ดังนั้น สิกขาบทใดต้องยกสู่อุเทส โดยนำมาสวดในวันปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน ให้พิจารณาตามนี้ ข้ออ้างของวัดนาป่าพงที่กล่าวว่า เสขิยวัตรไม่มีปรับอาบัติบ้าง (ปฏิเสธสิกขาบทวิภังค์ว่าไม่ใช่พุทธวจนะ) สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาฏิโมกข์จะต้องมีการปรับอาบัติไว้ เหล่านี้เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นทั้งสิ้น


สรุป สิกขาบทที่ต้องยกสู่ปาฏิโมกข์จะมีพระบาลีว่า "เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว อิมํ สิกฺขาปทํ อุทฺทิเสยฺยาถ" แปลเป็นภาษาไทยว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้" โดยไม่จำต้องคำนึงว่าสิกขาบทนั้นจะมีกี่ข้อก็ตาม ต้องยกขึ้นสู่อุเทสทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บัวสามเหล่า บัวสี่เหล่า ที่วัดนาป่าพงสอนผิด

ก่อนจะถึงประเด็นว่า พระไตรปิฎกแสดงเรื่องเหล่าบัวไว้อย่างไร ดิฉันอยากให้ทุกท่านชมคลิปนี้ เป็นคลิปที่สะท้อนความเข้าใจผิดของศิษย์วัดนาฯ ทั้งประเทศ ประชาชนชาวพุทธทั้งประเทศถูกคึกฤทธิ์สอนผิด โดยสอนว่า บัวสามเหล่าคือ "ลำดับการบรรลุธรรม"

ศิษย์วัดนาฯ จึงพยายามหาว่าตัวเองตอนนี้เหล่าไหนแล้ว ใครเข้ามาใหม่ก็เข้าใจว่าตนเองสุตะน้อย ยังเป็นบัวใต้น้ำอยู่ พอเริ่มค้นหาพระสูตรเป็น ก๊อปแปะได้ ก็คิดว่าตนขยับมาเป็นบัวปริ่มน้ำ พอทีองปฏิจสมุปบาทได้หน่อย ก็เข้าใจว่าตนโสดาบันแล้ว

บางคนเป็นหนักเข้าใจว่าตนรู้ถ้วนทั่วในปฏิจสมุปบาท เป็น "เอกพีชี" เกิดอีกชาติเดียวก็มี ชมคลิปค่ะ


ดูความคิดและความเข้าใจของเขาได้จากคลิป


คำอธิบายที่ถูกต้องตามพุทธวจนะของจริงในเรื่อง "บัวสามเหล่า"

บัวสามเหล่าตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้น พระพุทธเจ้าทรงหมายถึงความยากง่ายในการสอนให้บรรลุธรรม 

ในพระไตรปิฎกจะมีข้อความให้สังเกตคือ
ดูกรราชกุมาร เมื่ออาตมภาพตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ฉันนั้นได้เห็นหมู่สัตว์ซึ่งมีกิเลสดุจธุลีในจักษุน้อยก็มี มีกิเลสดุจธุลีในจักษุมากก็มี มีอินทรีย์แก่กล้าก็มีมีอินทรีย์อ่อนก็มี มีอาการดีก็มี มีอาการเลวก็มี  "จะพึงสอนให้รู้ได้ง่ายก็มี จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี"

แต่วัดนาป่าพงนำไปสอนโดยอธิบายความหมายผิด หรือทำให้คนเข้าใจผิดว่า บัวสามเหล่าคือการพัฒนาทางปัญญาของคนที่จะบรรลุธรรม ส่วนมากผู้ฟังธรรมจากวัดนี้จึงพากันพิจารณาว่าตนตอนนี้เป็นบัวเหล่าไหน แล้วพากันคิดว่า ฉันเพิ่งมาศึกษาฉันเป็นเหล่าที่ ๓ ต่อมาฟังมากๆ เข้า ตัวเองก็คิดว่าตนพัฒนาเป็นเหล่าที่ ๒ และพัฒนาต่อไปจนเป็นเหล่าที่ ๑

บางคนท่องปฏิจสมุปบาทได้ก็เข้าใจว่าตนบรรลุธรรมแล้ว

สรุป   บัวสามเหล่า ทรงอุปมาถึงสอนยากสอนง่าย มิใช่อุปมาพัฒนาการหรือลำดับการบรรลุธรรม

ส่วนบัวสี่เหล่า พระอรรถกถาจารย์ทรงอุปมาโดยนำบัวทั้งสามเหล่ามาเข้าด้วยบุคคลสี่จำพวก  เพราะในเรื่องบุคคลสี่จำพวกนี้ มีพระพุทธวจนะอธิบายไว้แล้วว่ามีลักษณะใดบ้าง   โดยบุคคลสามจำพวกแรกเป็นผู้ที่จะบรรลุธรรมได้ในชาตินี้ (คำว่าในชาตินี้หมายถึงชาติที่พระพุทธองค์อุบัติและตรัสรู้พร้อมจะสั่งสอนโปรดเวไนยสัตว์)  

ส่วนบุคคลอีกจำพวกหนึ่ง ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ในชาติที่พระองค์ทรงเผยแผ่พระธรรมวินัย แต่จะฟังธรรมและเป็นวาสนาต่อไปในชาติอื่นข้างหน้า  บุคคลประเภทที่ ๔ นี้เรียกว่า ปทปรมะ แปลว่า ผู้มีบทยิ่ง  คือ ทรงจำไว้มาก สอนผู้อื่นก็มาก แต่ไม่อาจบรรลุธรรมได้  บัวสี่เหล่าจึงแสดงในมุมของผู้ฟังธรรมที่จะบรรลุธรรมได้ยากหรือง่าย ย้ำนะคะ บัวสี่เหล่าหรือคนสี่จำพวกแสดงในมุมของผู้ฟังว่าจะบรรลุธรรมได้ยากหรือง่าย

สำหรับคนที่ยังพร่องๆ อยู่อย่างเรา ทรงจำยังไม่ได้ สอนใครยังไม่ได้ ยังไม่จัดเข้าแม้เป็นปทปรมะเลยด้วยซ้ำ จะกล่าวไปใยถึงสามเหล่าเล่า

พิจารณาพุทธวจนะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ๑
วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายความแห่งหัวข้อนั้น ๑
เนยยะผู้พอแนะนำได้ ๑
ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

พุทธพจน์ในพระสูตรนั้น มีคำขยายความตามพุทธดำรัสอยู่ในพระอภิธรรม ซึ่งคึกฤทธิ์ปฏิเสธอีกว่าไม่ใช่พุทธวจนะ  ขอให้สังเกตว่า บุคคลสามจำพวกแรกจะทรงตรัสถึง “การบรรลุมรรคผล” ง่ายหรือยาก

บุคคลผู้อุคฆติตัญญู เป็นไฉน  การบรรลุมรรคผล ย่อมมีแก่บุคคลใด พร้อมกับเวลาที่ท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง  บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้อุคฆติตัญญู

บุคคลผู้วิปัญจิตัญญู  เป็นไฉน  การบรรลุมรรคผล ย่อมมีแก่บุคคลใด ในเมื่อท่านจำแนกเนื้อความแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้วิปัญจิตัญญู

บุคคลผู้เนยยะ เป็นไฉน  การบรรลุมรรคผลเป็นชั้นๆ ไป ย่อมมีแก่บุคคลใด โดยเหตุอย่างนี้  คือโดยอุทเทส โดยไต่ถาม โดยทำไว้ในใจโดยแยบคาย โดยสมาคม  โดยคบหา โดยสนิทสนมกับกัลยาณมิตร บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้เนยยะ

บุคคลผู้ปทปรมะ เป็นไฉน  บุคคลใดฟังพุทธพจน์ก็มาก กล่าวก็มาก จำทรงไว้ก็มาก บอกสอนก็มาก แต่ไม่มีการบรรลุมรรคผลในชาตินั้น บุคคลนี้เรียกว่า บุคคลผู้ปทปรมะ

อนึ่ง บุคคลที่เป็นตัวอย่างสำหรับบัวเหล่าที่ ๑ หรือบุคคลผู้อุคฆติตัญญู ได้แก่พระพาหิยะ สาวกผู้เลิศในด้านการตรัสรู้เร็ว

ดังนั้น
    ๑ .     บัวสี่เหล่าหรือคนสี่จำพวก แสดงถึงการบรรลุธรรมของผู้ฟัง ว่ายากหรือง่าย
    ๒.     บัวสามเหล่าแสดงในมุมของผู้สอน (พระพุทธเจ้า) ว่าจะสอนให้เขาบรรลุธรรมได้ยากหรือง่าย

บัวสามเหล่าและสี่เหล่าจึงเป็นภาพสะท้อนคนละมุมกัน  อุปมาเหมือนคนเดียวยืนส่องกระจกสองบาน บานหนึ่งส่องด้านซ้าย อีกบานหนึ่งส่องด้านขวานั่นเอง

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2558

เดรัจฉานวิชา ที่วัดนาป่าพงสอนผิด เข้าใจผิด



เรื่องเดรัจฉานวิชาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่วัดนาป่าพงสอนผิด  อธิบายผิด  บิดเบือนไปมาก ทำให้เกิดความเข้าใจผิด สาวกพระคึกฤทธิ์จึงถึงขนาดวาดภาพการ์ตูน พุทธวจน'ตูน โดยนำภาพหลวงพ่อคูนมาเป็นแบบบิดเบือนว่าพระ "ทำ" เดรัจฉานวิชาต้องตกอบาย


ทั้งๆ ที่แท้จริงแล้ว ที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุทำเดรัจฉานวิชาเพราะจะเป็นช่องทางทำให้เกิดมิจฉาอาชีวะ เป็นผลให้ขวางพระนิพพาน  เพราะเหตุไม่สามารถยังอริยมรรคมีองค์แปด ให้เกิดได้ก็เท่านั้นเอง

วัดน่าป่าพงสอนผิดตั้งแต่ใช้คำว่า  “ทำเดรัจฉานวิชา”  เพราะพระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่า  “ทำเดรัจฉานวิชา”  แต่ทรงตรัสว่า “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา”   มีพระบาลีว่า  “ยถา  วา  ปเนเก  โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา สทฺธาเทยฺยานิ  โภชนานิ  ภุญฺชิตฺวา  เต  เอวรูปาย  ติรจฺฉานวิชฺชาย  มิจฺฉาชีเวน  ชีวิกํ  กปฺเปนฺติ   ฯ

ทำกับเลี้ยงชีพผิด ความหมายต่างกัน  แค่การใช้คำตามพระศาสดาโดยมีคำแปลไทยที่ผู้ศึกษาบาลีแปลไว้ให้เสร็จสรรพ พระคึกฤทธิ์ยังทำไม่ตรง แล้วจะอธิบายธรรมตรงตามพุทธดำรัสพระศาสดาหรือ


การที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามภิกษุ  “เลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชา”  นั้นเป็นเพราะทรงเกรงว่าภิกษุจะไปหลอกลวงชาวบ้าน  หาเงิน  หาทอง  กับชาวบ้าน อันเป็นการบริโภคปัจจัยอันมีโทษ และเป็นวิชาที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์อันจะนำมาซึ่งความหลุดพ้น  จึงทรงตรัสห้าม

เหตุเพราะภิกษุเป็นผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยการ  “ขอ”  ด้วยการ  “ให้โดยศรัทธา”  ของชาวบ้าน  จึงทำให้ภิกษุมีสัมมาอาชีวะ  เพราะรับปัจจัยสี่ที่เขาเต็มใจให้ด้วยศรัทธา   จึงเป็นหนทางให้อริยมรรคมีองค์แปดเจริญได้

พระศาสดาไม่เคยตรัสว่า   “ทำเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย”  ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจผิดของพระคึกฤทธิ์และสาวกเอง

พระศาสดาทรงตรัสแต่เพียงว่า  การเลี้ยงชีพผิด (มิจฉาอาชีวะ) นั้น เป็นเครื่องที่ทำให้พลาดสวรรค์  พลาดมรรคผล  เท่านั้น


อนึ่ง  ไม่พึงตีความตามใจตนเองว่า  พลาดสวรรค์คือการตกอบาย เพราะมิฉะนั้นท่านจะเป็นผู้กล่าวตู่พระศาสดา  หากพระศาสดาทรงประสงค์จะชี้ว่า  การเลี้ยงชีพผิดด้วยเดรัจฉานวิชาแล้วตกอบาย จะทรงตรัสชัดเหมือนทุกพระสูตรที่ทรงตรัสเรื่องการตกอบาย  


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะ จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างไร จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้มีความเห็นผิด ย่อมมีความดำริผิด ผู้มีความดำริผิด ย่อมมีวาจาผิด ผู้มีวาจาผิด ย่อมมีการงานผิด ผู้มีการงานผิด ย่อมมีการเลี้ยงชีพผิด  ผู้มีการเลี้ยงชีพผิด ย่อมมีความพยายามผิด ผู้มีความพยายามผิด ย่อมมีความระลึกผิด ผู้มีความระลึกผิด ย่อมมีความตั้งใจผิด ผู้มีความตั้งใจผิด ย่อมมีความรู้ผิด ผู้มีความรู้ผิด ย่อมมีความหลุดพ้นผิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตะอย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๖ อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต


การเลี้ยงชีพผิด  ไม่ใช่มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบาย 

มิจฉาทิฏฐิที่จะทำให้ตกอบายนั้น ทรงตรัสไว้ดังนี้ 

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นมิจฉาทิฐิมีความเห็นวิปริตว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผล ยัญที่บูชาแล้วไม่มีผล การเช่นสรวงไม่มีผล ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี สัตว์พวกที่เกิดผุดขึ้นไม่มี สมณะพราหมณ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว สอนหมู่สัตว์ให้รู้ตามไม่มีในโลก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าทิฐิวิบัติ.... เพราะทิฐิวิบัติเป็นเหตุ สัตว์ทั้งหลายเมื่อกายแตกตายไป ย่อมเข้าถึงอบายทุคติ วินิบาต นรก.....ฯ”

พระคึกฤทธิ์ไปอธิบายว่า  พระที่ทำน้ำมนต์  คนที่รับการพรมน้ำมนต์ ลามปามไปถึงพระราชพิธีหลวงมีความเห็นผิดว่า  น้ำมนต์เป็นเครื่องดลบันดาล  จนถึงกับพูดว่า  "อย่าไปเรียกว่าทำน้ำมนต์ให้เรียกว่า ทำน้ำเดรัจฉานวิชา”  นั้น เป็นการพูดเกินคำพระศาสดา  และพูดโดยเดาเอาเองด้วยความคิดของตนเองว่า  พระที่ทำน้ำพระพุทธมนต์  คนที่พรมน้ำพระพุทธมนต์นั้น ทำไปด้วยความเชื่อว่า  กรรมไม่มี น้ำมนต์ดลบันดาล

ทั้งๆ ที่พระศาสดาอธิบายเรื่องการไม่เชื่อผลของกรรมไว้ชัดเจนว่า  “ผลวิบากของกรรมที่บุคคลทำดีทำชั่วไม่มี”  ซึ่งหมายถึง  ความไม่เกรงกลัวต่อบาปกรรมนั่นเอง 

ดังนั้น  การฟังพระคึกฤทธิ์อธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาผิดๆ จึงส่งผลให้สาวกของพระคึกฤทธิ์เที่ยวจาบจ้วง ด่าพอ   เอานรกมาขู่ทั้งพระ  ทั้งโยม  ไปทั่ว  ทั้งหมด เริ่มจากการอธิบายเรื่องเดรัจฉานวิชาที่ผิด  ใช้ศัพท์ผิด ไม่กล่าวตามคำพระศาสดา  ไม่ศึกษาพระดำรัสให้ดีนั่นเอง